หุ้นเทคโนโลยี-เซมิคอนดักเตอร์หนุนตลาดสหรัฐ ท่ามกลางความไม่แน่นอนเศรษฐกิจ

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นในวันจันทร์ โดยได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่และเซมิคอนดักเตอร์ ขณะที่นักลงทุนเมินต่อข้อมูลความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อ่อนแอและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ดัชนี Nasdaq และ S&P 500 ปิดบวกเป็นวันที่สามติดต่อกัน โดยได้รับแรงหนุนจาก Nvidia, Broadcom และ Qualcomm ซึ่ง Broadcom พุ่งขึ้น 5.5% หลังรายงานผลประกอบการและแนวโน้มเชิงบวก ขณะที่ Qualcomm เพิ่มขึ้นกว่า 3% หลังศาลตัดสินในเชิงบวก ด้านดัชนี Dow Jones ปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี การดูแลสุขภาพ และพลังงาน สะท้อนถึงความแข็งแกร่งท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ ปริมาณการซื้อขายที่เบาบางก่อนวันหยุดคริสต์มาสได้เพิ่มอิทธิพลของหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่ม “Magnificent Seven” อย่าง Meta, Tesla และ Amazon ที่นำการปรับตัวขึ้นของตลาด โดยความเชื่อมั่นเชิงบวกยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องเมื่อตลาดเข้าสู่ช่วง “Santa Claus Rally” ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 1.3% ในช่วง 5 วันสุดท้ายของเดือนธันวาคมและ 2 วันแรกของเดือนมกราคม ขณะที่นักวิเคราะห์มองว่านักลงทุนยังคงถือครองหุ้นเพื่อใช้ประโยชน์จากความแข็งแกร่งตามฤดูกาล แทนที่จะขายทำกำไรเพื่อลดภาระภาษี

นอกเหนือจากกลุ่มเทคโนโลยีแล้ว หุ้น Eli Lilly พุ่งขึ้นเกือบ 4% หลังได้รับอนุมัติจาก FDA สำหรับยาลดน้ำหนัก Zepbound ในขณะที่ Walmart ลดลง 2% เนื่องจากถูกตรวจสอบด้านกฎระเบียบเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากพนักงานขับรถส่งของ ด้านหุ้นที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเผชิญความผันผวน โดย Rumble พุ่งขึ้น 81% หลังได้รับเงินลงทุน 775 ล้านดอลลาร์จาก Tether ขณะที่หุ้นที่เชื่อมโยงกับ Bitcoin ปรับตัวลดลงตามการอ่อนตัวของสกุลเงินดิจิทัล

อย่างไรก็ตาม ความกังวลด้านเศรษฐกิจยังคงอยู่ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน โดยผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีเพิ่มขึ้นแตะ 4.59% สะท้อนการปรับตัวของนักลงทุนต่อแนวโน้มที่ระมัดระวังมากขึ้นของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งได้ปรับลดคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2025 เหลือเพียง 2 ครั้ง จากเดิม 4 ครั้ง เนื่องจากความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ แม้ว่าข้อมูลล่าสุดจะบ่งชี้ถึงแนวโน้มที่ผ่อนคลายลง ขณะที่ดัชนี PCE ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อหลัก เพิ่มขึ้นเพียง 0.1% ในเดือนพฤศจิกายน ผ่อนคลายความกังวลเล็กน้อย แต่ยังคงสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของเฟด

อย่างไรก็ดี ความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนธันวาคมอ่อนแอลง สะท้อนถึงความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาวะธุรกิจและการเติบโตทางเศรษฐกิจ นักวิเคราะห์เตือนว่าผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้นและนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นของเฟด อาจกดดันตลาดหุ้น หากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังคงอยู่ ท่ามกลางหุ้นเทคโนโลยีที่จะยังคงเป็นผู้นำตลาด จากหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ที่ได้รับแรงหนุนจากความเชื่อมั่นในโอกาสเติบโตจาก AI

ทั้งนี้ แม้นักลงทุนจะปรับความคาดหวังเกี่ยวกับการลดดอกเบี้ยของเฟดและแนวโน้มเงินเฟ้อ แต่นักวิเคราะห์ยังคงมุมมองเชิงบวกอย่างระมัดระวัง โดยหลายคนมองว่ากิจกรรมในตลาดล่าสุดสะท้อนแนวโน้มในปี 2023 ที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและ AI เติบโตได้ดี แม้จะมีความท้าทายทางเศรษฐกิจ ขณะที่ตลาดก้าวเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของปี ความเชื่อมั่นตามฤดูกาลและผลประกอบการที่แข็งแกร่งอาจช่วยหนุนตลาดต่อไป แม้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้นและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจจะยังเป็นปัจจัยจำกัดการเติบโตก็ตาม

ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (1D) CFD US30 DJIA

แนวต้านสำคัญ : 43005.9, 43126.8, 43322.6

แนวรับสำคัญ : 42614.3, 42493.4, 42297.6        

1D Outlook       

ที่มา: TradingView                                  

Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 42214.3 - 42614.3 แต่ไม่สามารถเบรกแนวรับที่ 42614.3 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 43113.7 และ SL ที่ประมาณ 42114.3 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Buy/Long 2 หากสามารถเบรกแนวต้านที่ช่วงราคา 43005.9 - 43405.9 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 44000.0 และ SL ที่ประมาณ 42514.3 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้                 

Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 43005.9 - 43405.9 แต่ไม่สามารถเบรกแนวต้านที่ 43005.9 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 42601.2 และ SL ที่ประมาณ 43505.9 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Sell/Short 2 หากสามารถเบรกแนวรับที่ช่วงราคา 42214.3 - 42614.3 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 41712.0 และ SL ที่ประมาณ 43105.9 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Pivot Points Dec 24, 2024 10:39AM GMT+7