เศรษฐกิจของจีนยังคงแสดงให้เห็นถึงสัญญาณการเติบโตที่ชะลอตัวลง

ค่าเงินหยวนยังคงทรงตัวต่อเนื่อง หลังจากที่ธนาคารกลางได้อัดฉีดเงินมูลค่ากว่า 300,000 ล้านหยวน อย่างไรก็ตาม แรงกดดันส่วนใหญ่ยังคงเกิดจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากธนาคารกลางสะอาดได้มีการปรับคาดการณ์การลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้าลงเหลือเพียง 2 ครั้งเท่านั้น นอกจากนี้ ยังไม่มีนโยบายจากต้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากธนาคารกลางจีนที่จะช่วยให้เศรษฐกิจเกิดการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าในเดือนก่อนหน้าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยบางส่วนก็ตาม

ธนาคารกลางจีน (PBoC) ได้ปล่อยเงินกู้ระยะกลาง (MLF) มูลค่ารวม 300,000 ล้านหยวนเข้าสู่สถาบันการเงินต่างๆ เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม โดยปล่อยเงินกู้ระยะกลาง (MLF) 1 ปี ในอัตราคงที่ 2.0% นอกจากนี้ มีเงินกู้ที่มีมูลค่ากว่า 1.45 ล้านล้านหยวนที่ครบกำหนดในเดือนนี้ ซึ่งส่งผลให้มีการดึงเงินออกจากระบบสุทธิ 1.15 ล้านล้านหยวน ซึ่งถือเป็นจำนวนสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2010 แม้ว่าทางธนาคารกลางจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 30bps ในเดือนกันยายน ก็ตาม โดยธนาคารกลางให้ความคิดเห็นว่าจะดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายลงเล็กน้อย พร้อมกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในเชิงรุกมากขึ้น เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงต่อเนื่องจากอุปสงค์ภายในประเทศอ่อนตัวลง

อย่างไรก็ตาม ทางธนาคารกลางยังไม่ได้ออกความคิดเห็น รวมถึงยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดใดๆ หลังจากการได้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐโดยว่าที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะขึ้นภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงขึ้น ซึ่งนำโดยเม็กซิโก, แคนาดาและจีนที่อาจมีการปรับขึ้นภาษีการนำเข้าอีก 10% ซึ่งการปรับขึ้นภาษีณครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของจีนโดยตรงเนื่องจากได้ดุลการค้ากับสหรัฐอย่างต่อเนื่อง

ธนาคารกลางจีน (PBoC) ได้ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในการประชุมครั้งล่าสุด ถือว่าเป็นการคงอาการดอกเบี้ยเดือนที่ 2 ติดต่อกัน ซึ่งสอดคล้องกับประมาณการของตลาด โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ชั้นดีระยะเวลา 1 ปี ซึ่งใช้เป็นเกณฑ์อ้างอิงสำหรับสินเชื่อขององค์กรและภาคครัวเรือนส่วนใหญ่ อยู่ที่ 3.1% ในขณะเดียวกัน อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 5 ปี ซึ่งเป็นเกณฑ์อ้างอิงสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัย อยู่ที่ 3.6% ไม่เปลี่ยนแปลง ทั้ง 2 อัตราดอกเบี้ยนี้ยังคงอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนตุลาคมและกรกฎาคม อย่างไรก็ตาม การขาดดุลงบประมาณภายในปี 2025 คาดว่าจะเพิ่มเป็น 10% ของ GDP เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและกระตุ้นการบริโภคมั้งภาคครัวเรือนและเอกชน นอกจากนี้ ธนาคารกลางยังให้คำมั่นว่าจะดำเนินนโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายมากขึ้นภายในปีหน้า โดยมีเจ้าหน้าที่บางส่วนให้คำแนะนำว่าการลด RRR ลงอีกจากระดับเฉลี่ยปัจจุบันที่ 6.6% ซึ่งอาจช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้บางส่วน

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจีนอายุ 10 ปีลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 1.73% สะท้อนให้เห็นถึงกิจกรรมในภาคการผลิตและภาคบริการที่ซบเซาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ด้านนักลงทุนเองก็กำลังจับตามองมาตรการล่าสุดที่ธนาคารกลางจีนได้อัดฉีดเงินซึ่งมีมูลค่ากว่า 300,000 ล้านหยวนเข้าสู่สถาบันการเงินผ่านโครงการสินเชื่อระยะกลาง แม้ว่าจะมีการอัดฉีดเงินเพิ่มเติมแต่ได้นักลงทุนยังคงมองว่าการอัดฉีดเงินเพียงอย่างเดียวไม่สามารถคลี่คลายปัญหาเศรษฐกิจในตอนนี้ได้ และกำลังรอคอยนโยบายทางการเงินอื่นๆโดยเฉพาะการปรับลดอัตราดอกเบี้ยซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยลดต้นทุนการผลิต รวมไปถึงต้นทุนในการกู้ยืมและอาจทำให้เศรษฐกิจสามารถเติบโตได้อีกครั้ง