ธนาคารกลางญี่ปุ่นอาจใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อไป

ค่าเงินเยนของญี่ปุ่นออกค่าลงต่อเนื่อง โดยอ่อนค่าลงไปกว่า 158 เยนต่อดอลลาร์ ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของญี่ปุ่นต้องออกมาแถลงนโยบายทางการเงินอีกครั้ง โดยรัฐมนตรีกระทรวงการคลังคัตสึโนบุ คาโตะ ยังคงย้ำถึงการเก็งกำไรของค่าเงินเยนที่มากเกินไป และส่งสัญญาณว่ารัฐบาลพร้อมที่จะดำเนินการเข้าแทรกตลาดแลกเปลี่ยนหากเห็นว่ามีความผันผวนมากเกินไป หลังจากการแทรกแซงเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ค่าเงินเยนยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดัน เนื่องจากความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับช่วงเวลาที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น คาซูโอะ อุเอดะ เน้นย้ำว่าการปรับนโยบายใดๆ จะขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน, อัตราดอกเบี้ย และความสามารถในการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเติบโตของค่าจ้างอย่างยั่งยืน 

คาซูโอะ อุเอดะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น คาดว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะเคลื่อนตัวเข้าใกล้เป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2% อย่างยั่งยืนและมีเสถียรภาพมากขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อดังกล่าว จำเป็นต้องสอดคล้องกับการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานในปัจจุบันด้วย นอกจากนี้ ยังคงเน้นย้ำว่าเพื่อให้อัตราเงินเฟ้อประสบกับเป้าหมาย ธนาคารกลางจะคงนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อไป อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางจำเป็นต้องประเมิณความเสี่ยงจากต่างประเทศ โดยเฉพาะการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐและความขัดแย้งที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น

ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ซึ่งใช้วัดแนวโน้มเศรษฐกิจในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าโดยอาศัยข้อมูลต่างๆ เช่น การเสนอการจ้างงานและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค อยู่ที่ 109.1 ในเดือนตุลาคม สูงกว่าเดือนกันยายนที่ 108.9 โดยได้รับแรงหนุนจากการจ้างงานที่สูงเป็นประวัติการณ์และการปรับขึ้นค่าจ้างที่สูงขึ้น โดยทางสำนักงานคณะรัฐมนตรีเปิดเผยว่าสถานการณ์การจ้างงานของเอกชนในช่วงเดือนนั้นอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นเล็กน้อย ในขณะเดียวกัน จำนวนการเสนอการจ้างงานใหม่ในหน่วยงานของรัฐและตำแหน่งงานที่เปิดรับสมัครยังคงมีแนวโน้มคงที่ ขณะเดียวกัน การบริโภคภาคเอกชนฟื้นตัวในเดือนตุลาคม แม้ว่าจะยังคงค่อนข้างซบเซาในบางพื้นที่ก็ตาม

อัตราการว่างงานของญี่ปุ่นอยู่ที่ 2.5% ในเดือนพฤศจิกายน ทรงตัวเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน โดยจำนวนผู้ว่างงานเพิ่มขึ้น 10,000 คนเป็น 1.72 ล้านคน ในขณะที่การจ้างงานเพิ่มขึ้น 100,000 คน เป็น 68.08 ล้านคน นับว่าเป็นการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยจำนวนแรงงานเพิ่มขึ้น 130,000 คน เป็น 69.80 ล้านคน สะท้อนให้เห็นถึงการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย สอดคล้องกับการปรับขึ้นเงินเดือนที่เพิ่มชึ้น

PMI ภาคบริการของญี่ปุ่นถูกปรับลดลงเป็น 50.9 ในเดือนธันวาคม จาก 50.5 ในเดือนพฤศจิกายน นับเป็นการเติบโตของภาคบริการเดือนที่ 2 ติดต่อกลับ โดยคำสั่งซื้อใหม่เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน และส่งผลให้การจ้างงานยังเพิ่มขึ้นแม้ว่าจะไม่มากก็ตาม ในขณะเดียวกัน รายจ่ายในด้านต้นทุนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ซึ่งเป็นผลมาจากต้นทุนวัตถุดิบและค่าจ้างที่สูงขึ้น ทำให้บริษัทต่างๆ ส่งต่อภาระต้นทุนบางส่วนให้กับลูกค้า

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้นเหนือ 1.12% แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2011 ในขณะที่นักลงทุนยังคงประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่นต่อไป แม้ว่าทางผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น คาซูโอะ อูเอดะ ย้ำว่าช่วงเวลาของการปรับนโยบายจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย และเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปรับขึ้นค่าจ้างอย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม PMI ภาคการบริการที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้น อาจทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่นใช้นโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลายต่อไป เพื่อให้เศรษฐกิจภายในประเทศสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยน้อยลงในปี 2025