หุ้นสหรัฐฯ ร่วงจากข้อมูลจ้างงาน ตลาดกังวลดอกเบี้ยเฟด
ฟิวเจอร์สหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงในวันจันทร์ เนื่องจากตลาดประเมินความคาดหวังเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ใหม่ หลังจากรายงานตัวเลขการจ้างงานเดือนธันวาคมที่แข็งแกร่งเกินคาด โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ สร้างงานเพิ่มขึ้น 256,000 ตำแหน่งในเดือนที่ผ่านมา สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ขณะที่อัตราการว่างงานลดลงเหลือ 4.1% ก่อให้เกิดความกังวลว่าตลาดแรงงานที่ตึงตัวอาจยังคงกดดันให้เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง ซึ่งลดโอกาสในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี แตะระดับสูงสุดในรอบ 14 เดือนที่ 4.805% ท่ามกลางตลาดหุ้นที่เผชิญแรงกดดัน
ในวันจันทร์ ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทมีการเคลื่อนไหวที่หลากหลาย ดัชนี S&P 500 ฟื้นตัวเล็กน้อยจากจุดต่ำสุดในรอบสองเดือน โดยเพิ่มขึ้น 0.2% ส่วนดัชนีดาวโจนส์ปรับขึ้น 0.9% ได้รับแรงหนุนจากหุ้น UnitedHealth Group (NYSE:UNH) ที่พุ่งขึ้น 3.93% หลังจากรัฐบาลไบเดนเสนอการเพิ่มอัตราการชำระเงินคืน Medicare Advantage 2.2% สำหรับปี 2026 ขณะที่ดัชนี Nasdaq Composite ลดลง 0.4% เนื่องจากหุ้นเทคโนโลยีอ่อนตัว Nvidia (NASDAQ:NVDA) ลดลง 1.97% และ Micron Technology (NASDAQ:MU) ลดลง 4.31% หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ ออกข้อจำกัดการส่งออกชิป AI ไปยังจีน
หุ้นในกลุ่มพลังงานมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น โดยหุ้น Valero Energy (NYSE:VLO), Baker Hughes (NASDAQ:BKR) และ Schlumberger (NYSE:SLB) ต่างเพิ่มขึ้นกว่า 3% จากราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น เนื่องจากความคาดหวังเรื่องการหยุดชะงักของอุปทานอันเป็นผลมาจากการคว่ำบาตรน้ำมันดิบรัสเซียของสหรัฐฯ ในทางตรงกันข้าม กลุ่มสาธารณูปโภคและเทคโนโลยีเป็นกลุ่มที่มีผลการดำเนินงานที่แย่ที่สุด โดยหุ้น Edison International (NYSE:EIX) ร่วงลง 11.89% หลังจากถูกฟ้องร้องว่าอุปกรณ์ของบริษัทเป็นต้นเหตุของไฟป่าในแคลิฟอร์เนีย ในกลุ่มสุขภาพ หุ้น CVS Health (NYSE:CVS) และ Humana (NYSE:HUM) เพิ่มขึ้นราว 7% ส่งผลให้ดัชนี S&P 500 ในภาคสุขภาพเพิ่มขึ้น 1.27%
ด้านข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่จะประกาศในวันพุธนี้ คาดว่าจะมีอิทธิพลต่อการคาดการณ์นโยบายของ Fed โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า CPI รายปีในเดือนธันวาคมจะเพิ่มขึ้น 2.9% จาก 2.7% ในเดือนพฤศจิกายน และเพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบรายเดือน นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอรายงานผลประกอบการไตรมาสจากธนาคารใหญ่ในวอลล์สตรีท โดย JPMorgan Chase (NYSE:JPM), Wells Fargo (NYSE:WFC), Citigroup (NYSE:C) และ Goldman Sachs (NYSE:GS) จะรายงานในวันพุธ ส่วน Bank of America (NYSE:BAC) และ Morgan Stanley (NYSE:MS) จะรายงานในวันพฤหัสบดี
ทั้งนี้ ในช่วงฤดูกาลรายงานผลประกอบการ ความเชื่อมั่นในหุ้นแต่ละตัวมีความแตกต่างกัน หุ้น Moderna (NASDAQ:MRNA) ร่วงลง 16.8% หลังจากปรับลดประมาณการยอดขายในปี 2025 ลง 1 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากความต้องการวัคซีน COVID-19 ที่ลดลงและการเปิดตัววัคซีน RSV ที่ช้า ขณะที่หุ้นกลุ่มค้าปลีกเผชิญแรงกดดัน โดยหุ้น Macy’s (NYSE:M) ลดลง 8% จากแนวโน้มยอดขายที่ต่ำกว่าคาด ส่วนหุ้น Abercrombie & Fitch (NYSE:ANF) ลดลงเกือบ 16% แม้จะปรับเพิ่มเป้าหมายยอดขายประจำปี แต่ไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนถึงการเติบโตที่ยั่งยืนได้
อย่างไรก็ดี ฤดูกาลรายงานผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2024 ที่จะเริ่มขึ้นในสัปดาห์หน้า นักวิเคราะห์คาดการณ์การเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS) สำหรับ S&P 500 อยู่ที่ 8% เมื่อเทียบรายปี ขับเคลื่อนโดยการเติบโตของยอดขาย 4% และการขยายตัวของอัตรากำไรสุทธิ 31 จุดพื้นฐานเป็น 11.5% โดยการเติบโตของ EPS สำหรับหุ้น S&P 500 โดยเฉลี่ยคาดว่าจะอยู่ที่ 6% ขณะที่นักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs คาดการณ์ว่าผลประกอบการจะมีความแข็งแกร่ง แต่เตือนว่าความแตกต่างระหว่าง EPS ที่รายงานและที่คาดการณ์อาจลดลง เนื่องจากการคาดการณ์จากนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ที่อยู่ในระดับสูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2021 โดยในอดีต การเติบโตของ EPS ในดัชนี S&P 500 มักจะเกินกว่าที่คาดการณ์เฉลี่ยประมาณ 4 เปอร์เซ็นต์ในช่วง 11 ไตรมาสที่ผ่านมา
ในแง่ของภาคส่วน กลุ่ม Communication Services และ Information Technology คาดว่าจะเป็นผู้นำในการเติบโตของกำไร ขณะที่กลุ่ม Financials คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 13% ในทางกลับกัน กลุ่มพลังงานอาจต้องเผชิญกับความท้าทาย โดยกำไรคาดว่าจะลดลง เนื่องจากราคาน้ำมัน Brent เฉลี่ยลดลง 11% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2023 โดยนักวิเคราะห์เน้นย้ำ 3 ประเด็นสำคัญที่ควรจับตาในฤดูกาลนี้ ได้แก่ แนวโน้มการเติบโตของยอดขายองค์กร การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางการบริหารที่อาจเกิดขึ้นในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และความยั่งยืนของการเติบโตของกำไรในหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ขณะที่ Goldman Sachs คาดการณ์การเติบโตของ EPS ในปี 2025 ที่ 11% และยังคงตั้งเป้าหมายดัชนี S&P 500 ที่ระดับ 6,500 ภายในสิ้นปี โดยมีแรงขับเคลื่อนจากการขยายตัวของกำไร
อย่างไรก็ดี ภายใต้การคาดการณ์เหล่านี้ กลุ่มธนาคารจะเป็นบททดสอบสำคัญแรกของความเชื่อมั่นในตลาด จากธนาคารชั้นนำ เช่น JPMorgan, Wells Fargo และ Goldman Sachs ที่เตรียมรายงานผลประกอบการ นักวิเคราะห์คาดว่าปริมาณดีลที่แข็งแกร่งจะช่วยสนับสนุนผลประกอบการ แต่ความสนใจจะมุ่งเน้นไปที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ซึ่งสะท้อนถึงผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ผ่านมา และแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่เกี่ยวข้องกับนโยบายเศรษฐกิจล่าสุด หลังจากความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นเริ่มสั่นคลอนภายหลังการเลือกตั้ง โดยได้รับอิทธิพลจากการเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และรายงานการจ้างงานที่แข็งแกร่ง ที่ลดความคาดหวังต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม
โดยรวมแล้ว บริษัทในดัชนี S&P 500 คาดว่าจะรายงานกำไรเพิ่มขึ้นเกือบ 10% สำหรับไตรมาสนี้ ตามข้อมูลจาก LSEG IBES นักวิเคราะห์จาก Bank of America คาดการณ์ว่าฤดูกาลรายงานผลประกอบการนี้จะมีความสำคัญ โดยคาดการณ์ถึงมุมมองเชิงบวก พร้อมกับแนวโน้มหลังการเลือกตั้งที่เร่งตัวขึ้น อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์คาดว่าจะยังคงให้คำแนะนำถึงการใช้ความระมัดระวัง ขณะที่ตลาดออปชั่นส่งสัญญาณถึงความผันผวนของหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้น โดยมีการเคลื่อนไหวโดยเฉลี่ยที่ 4.7% หลังจากการรายงานผลประกอบการ ท่ามกลางนักวิเคราะห์ที่ระบุว่า “ฤดูกาลนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับการเลือกหุ้นที่เหมาะสม” ซึ่งเน้นถึงความสำคัญของผลประกอบการของแต่ละบริษัทในการขับเคลื่อนความเชื่อมั่นในตลาด
ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (15Min) CFD US 500 [S&P 500]
แนวต้านสำคัญ : 5848.8, 5850.3, 5852.9
แนวรับสำคัญ : 5843.6, 5842.1, 5839.5
15Min Outlook
ที่มา: TradingView
Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 5839.6 - 5843.6 แต่ไม่สามารถเบรกแนวรับที่ 5843.6 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 5848.8 และ SL ที่ประมาณ 5837.6 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Buy/Long 2 หากสามารถเบรกแนวต้านที่ช่วงราคา 5848.8 - 5852.8 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 5862.0 และ SL ที่ประมาณ 5841.6 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 5848.8 - 5852.8 แต่ไม่สามารถเบรกแนวต้านที่ 5848.8 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 5841.9 และ SL ที่ประมาณ 5854.8 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Sell/Short 2 หากสามารถเบรกแนวรับที่ช่วงราคา 5839.6 - 5843.6 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 5833.0 และ SL ที่ประมาณ 5850.8 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Pivot Points Jan 14, 2025 09:15AM GMT+7
Name
|
S3
|
S2
|
S1
|
Pivot Points
|
R1
|
R2
|
R3
|
---|---|---|---|---|---|---|---|
Classic | 5835.2 | 5839.5 | 5841.9 | 5846.2 | 5848.6 | 5852.9 | 5855.3 |
Fibonacci | 5839.5 | 5842.1 | 5843.6 | 5846.2 | 5848.8 | 5850.3 | 5852.9 |
Camarilla | 5842.5 | 5843.1 | 5843.7 | 5846.2 | 5844.9 | 5845.5 | 5846.1 |
Woodie's | 5834.2 | 5839 | 5840.9 | 5845.7 | 5847.6 | 5852.4 | 5854.3 |
DeMark's | - | - | 5840.7 | 5845.6 | 5847.4 | - | - |
ที่มา: Investing 1, Investing 2
อัพเกรดความรู้เพิ่มเติม: คลิ