บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ วันที่ 14 มกราคม 2568

Create at 1 day ago (Jan 14, 2025 09:28)

หุ้นสหรัฐฯ ร่วงจากข้อมูลจ้างงาน ตลาดกังวลดอกเบี้ยเฟด

ฟิวเจอร์สหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงในวันจันทร์ เนื่องจากตลาดประเมินความคาดหวังเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ใหม่ หลังจากรายงานตัวเลขการจ้างงานเดือนธันวาคมที่แข็งแกร่งเกินคาด โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ สร้างงานเพิ่มขึ้น 256,000 ตำแหน่งในเดือนที่ผ่านมา สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ขณะที่อัตราการว่างงานลดลงเหลือ 4.1% ก่อให้เกิดความกังวลว่าตลาดแรงงานที่ตึงตัวอาจยังคงกดดันให้เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง ซึ่งลดโอกาสในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี แตะระดับสูงสุดในรอบ 14 เดือนที่ 4.805% ท่ามกลางตลาดหุ้นที่เผชิญแรงกดดัน

ในวันจันทร์ ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทมีการเคลื่อนไหวที่หลากหลาย ดัชนี S&P 500 ฟื้นตัวเล็กน้อยจากจุดต่ำสุดในรอบสองเดือน โดยเพิ่มขึ้น 0.2% ส่วนดัชนีดาวโจนส์ปรับขึ้น 0.9% ได้รับแรงหนุนจากหุ้น UnitedHealth Group (NYSE:UNH) ที่พุ่งขึ้น 3.93% หลังจากรัฐบาลไบเดนเสนอการเพิ่มอัตราการชำระเงินคืน Medicare Advantage 2.2% สำหรับปี 2026 ขณะที่ดัชนี Nasdaq Composite ลดลง 0.4% เนื่องจากหุ้นเทคโนโลยีอ่อนตัว Nvidia (NASDAQ:NVDA) ลดลง 1.97% และ Micron Technology (NASDAQ:MU) ลดลง 4.31% หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ ออกข้อจำกัดการส่งออกชิป AI ไปยังจีน

หุ้นในกลุ่มพลังงานมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น โดยหุ้น Valero Energy (NYSE:VLO), Baker Hughes (NASDAQ:BKR) และ Schlumberger (NYSE:SLB) ต่างเพิ่มขึ้นกว่า 3% จากราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น เนื่องจากความคาดหวังเรื่องการหยุดชะงักของอุปทานอันเป็นผลมาจากการคว่ำบาตรน้ำมันดิบรัสเซียของสหรัฐฯ ในทางตรงกันข้าม กลุ่มสาธารณูปโภคและเทคโนโลยีเป็นกลุ่มที่มีผลการดำเนินงานที่แย่ที่สุด โดยหุ้น Edison International (NYSE:EIX) ร่วงลง 11.89% หลังจากถูกฟ้องร้องว่าอุปกรณ์ของบริษัทเป็นต้นเหตุของไฟป่าในแคลิฟอร์เนีย ในกลุ่มสุขภาพ หุ้น CVS Health (NYSE:CVS) และ Humana (NYSE:HUM) เพิ่มขึ้นราว 7% ส่งผลให้ดัชนี S&P 500 ในภาคสุขภาพเพิ่มขึ้น 1.27%

ด้านข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่จะประกาศในวันพุธนี้ คาดว่าจะมีอิทธิพลต่อการคาดการณ์นโยบายของ Fed โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า CPI รายปีในเดือนธันวาคมจะเพิ่มขึ้น 2.9% จาก 2.7% ในเดือนพฤศจิกายน และเพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบรายเดือน นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอรายงานผลประกอบการไตรมาสจากธนาคารใหญ่ในวอลล์สตรีท โดย JPMorgan Chase (NYSE:JPM), Wells Fargo (NYSE:WFC), Citigroup (NYSE:C) และ Goldman Sachs (NYSE:GS) จะรายงานในวันพุธ ส่วน Bank of America (NYSE:BAC) และ Morgan Stanley (NYSE:MS) จะรายงานในวันพฤหัสบดี

ทั้งนี้ ในช่วงฤดูกาลรายงานผลประกอบการ ความเชื่อมั่นในหุ้นแต่ละตัวมีความแตกต่างกัน หุ้น Moderna (NASDAQ:MRNA) ร่วงลง 16.8% หลังจากปรับลดประมาณการยอดขายในปี 2025 ลง 1 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากความต้องการวัคซีน COVID-19 ที่ลดลงและการเปิดตัววัคซีน RSV ที่ช้า ขณะที่หุ้นกลุ่มค้าปลีกเผชิญแรงกดดัน โดยหุ้น Macy’s (NYSE:M) ลดลง 8% จากแนวโน้มยอดขายที่ต่ำกว่าคาด ส่วนหุ้น Abercrombie & Fitch (NYSE:ANF) ลดลงเกือบ 16% แม้จะปรับเพิ่มเป้าหมายยอดขายประจำปี แต่ไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนถึงการเติบโตที่ยั่งยืนได้

อย่างไรก็ดี ฤดูกาลรายงานผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2024 ที่จะเริ่มขึ้นในสัปดาห์หน้า นักวิเคราะห์คาดการณ์การเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS) สำหรับ S&P 500 อยู่ที่ 8% เมื่อเทียบรายปี ขับเคลื่อนโดยการเติบโตของยอดขาย 4% และการขยายตัวของอัตรากำไรสุทธิ 31 จุดพื้นฐานเป็น 11.5% โดยการเติบโตของ EPS สำหรับหุ้น S&P 500 โดยเฉลี่ยคาดว่าจะอยู่ที่ 6% ขณะที่นักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs คาดการณ์ว่าผลประกอบการจะมีความแข็งแกร่ง แต่เตือนว่าความแตกต่างระหว่าง EPS ที่รายงานและที่คาดการณ์อาจลดลง เนื่องจากการคาดการณ์จากนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ที่อยู่ในระดับสูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2021 โดยในอดีต การเติบโตของ EPS ในดัชนี S&P 500 มักจะเกินกว่าที่คาดการณ์เฉลี่ยประมาณ 4 เปอร์เซ็นต์ในช่วง 11 ไตรมาสที่ผ่านมา

ในแง่ของภาคส่วน กลุ่ม Communication Services และ Information Technology คาดว่าจะเป็นผู้นำในการเติบโตของกำไร ขณะที่กลุ่ม Financials คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 13% ในทางกลับกัน กลุ่มพลังงานอาจต้องเผชิญกับความท้าทาย โดยกำไรคาดว่าจะลดลง เนื่องจากราคาน้ำมัน Brent เฉลี่ยลดลง 11% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2023 โดยนักวิเคราะห์เน้นย้ำ 3 ประเด็นสำคัญที่ควรจับตาในฤดูกาลนี้ ได้แก่ แนวโน้มการเติบโตของยอดขายองค์กร การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางการบริหารที่อาจเกิดขึ้นในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และความยั่งยืนของการเติบโตของกำไรในหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ขณะที่ Goldman Sachs คาดการณ์การเติบโตของ EPS ในปี 2025 ที่ 11% และยังคงตั้งเป้าหมายดัชนี S&P 500 ที่ระดับ 6,500 ภายในสิ้นปี โดยมีแรงขับเคลื่อนจากการขยายตัวของกำไร

อย่างไรก็ดี ภายใต้การคาดการณ์เหล่านี้ กลุ่มธนาคารจะเป็นบททดสอบสำคัญแรกของความเชื่อมั่นในตลาด จากธนาคารชั้นนำ เช่น JPMorgan, Wells Fargo และ Goldman Sachs ที่เตรียมรายงานผลประกอบการ นักวิเคราะห์คาดว่าปริมาณดีลที่แข็งแกร่งจะช่วยสนับสนุนผลประกอบการ แต่ความสนใจจะมุ่งเน้นไปที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ซึ่งสะท้อนถึงผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ผ่านมา และแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่เกี่ยวข้องกับนโยบายเศรษฐกิจล่าสุด หลังจากความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นเริ่มสั่นคลอนภายหลังการเลือกตั้ง โดยได้รับอิทธิพลจากการเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และรายงานการจ้างงานที่แข็งแกร่ง ที่ลดความคาดหวังต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม

โดยรวมแล้ว บริษัทในดัชนี S&P 500 คาดว่าจะรายงานกำไรเพิ่มขึ้นเกือบ 10% สำหรับไตรมาสนี้ ตามข้อมูลจาก LSEG IBES นักวิเคราะห์จาก Bank of America คาดการณ์ว่าฤดูกาลรายงานผลประกอบการนี้จะมีความสำคัญ โดยคาดการณ์ถึงมุมมองเชิงบวก พร้อมกับแนวโน้มหลังการเลือกตั้งที่เร่งตัวขึ้น อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์คาดว่าจะยังคงให้คำแนะนำถึงการใช้ความระมัดระวัง ขณะที่ตลาดออปชั่นส่งสัญญาณถึงความผันผวนของหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้น โดยมีการเคลื่อนไหวโดยเฉลี่ยที่ 4.7% หลังจากการรายงานผลประกอบการ ท่ามกลางนักวิเคราะห์ที่ระบุว่า “ฤดูกาลนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับการเลือกหุ้นที่เหมาะสม” ซึ่งเน้นถึงความสำคัญของผลประกอบการของแต่ละบริษัทในการขับเคลื่อนความเชื่อมั่นในตลาด

ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (15Min) CFD US 500 [S&P 500]

แนวต้านสำคัญ : 5848.8, 5850.3, 5852.9

แนวรับสำคัญ : 5843.6, 5842.1, 5839.5      

15Min Outlook              

วิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มา: TradingView                                       

Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 5839.6 - 5843.6 แต่ไม่สามารถเบรกแนวรับที่ 5843.6 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 5848.8 และ SL ที่ประมาณ 5837.6 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Buy/Long 2 หากสามารถเบรกแนวต้านที่ช่วงราคา 5848.8 - 5852.8 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 5862.0 และ SL ที่ประมาณ 5841.6 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้                 

Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 5848.8 - 5852.8 แต่ไม่สามารถเบรกแนวต้านที่ 5848.8 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 5841.9 และ SL ที่ประมาณ 5854.8 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Sell/Short 2 หากสามารถเบรกแนวรับที่ช่วงราคา 5839.6 - 5843.6 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 5833.0 และ SL ที่ประมาณ 5850.8 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Pivot Points Jan 14, 2025 09:15AM GMT+7

Name
S3
S2
S1
Pivot Points
R1
R2
R3
Classic 5835.2 5839.5 5841.9 5846.2 5848.6 5852.9 5855.3
Fibonacci 5839.5 5842.1 5843.6 5846.2 5848.8 5850.3 5852.9
Camarilla 5842.5 5843.1 5843.7 5846.2 5844.9 5845.5 5846.1
Woodie's 5834.2 5839 5840.9 5845.7 5847.6 5852.4 5854.3
DeMark's - - 5840.7 5845.6 5847.4 - -

ที่มา: Investing 1Investing 2

______________________________
อัพเกรดความรู้เพิ่มเติม: คลิกที่นี่
รู้เท่าทันสถานการณ์โลกและบทวิเคราะห์เทคนิคขั้นสูง: คลิกที่นี่
Tags:

TECHNICAL ANALYSIS

ARTICLES