ธนาคารกลางยุโรปอาจใช้นโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลายต่อไป 

ยูโรแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ชะลอการปรับขึ้นภาษีการนำเข้าสินค้าออกไปก่อนในช่วงต้นวาระของการดำรงตำแหน่ง โดยนโยบายดังกล่าวอาจขัดขวางการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและกระตุ้นเงินเฟ้อของสหรัฐให้กลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง นอกจากนี้ การใช้นโยบายที่เอื้อต่อธุรกิจในช่วงแรกยังช่วยสนับสนุนความเชื่อมั่นของรัฐลงทุนได้อีกด้วย

ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังคงเน้นย้ำถึงแนวทางการลดอัตราดอกเบี้ยอย่างระมัดระวัง แต่ก็ส่งสัญญาณว่าอาจมีการผ่อนคลายนโยบายทางการเงินเพิ่มเติมด้วยเช่นเดียวกัน โดยอ้างถึงอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง แม้ว่าเวลาในการลดอัตราดอกเบี้ยแต่ยังไม่ชัดเจน แต่ผู้กำหนดนโยบายได้ตั้งข้อสังเกรดถึงแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในอนาคตอาจมีแนวโน้มชะลอตัวลง ทำให้การลดอัตราดอกเบี้ยลงทีละน้อยถือว่าเป็นสิ่งที่เหมาะสม ถ้ายังตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมถึงเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศที่แทบไม่เติบโตเลย ทำให้การปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะไม่ส่งผลแค่อัตราเงินเฟ้อเพียงอย่างเดียวแต่จะเป็นการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่อ่อนแอด้วย

โดยผู้กำหนดนโยบายหลายคนสนับสนุนให้ลดอัตราดอกเบี้ยลงมาอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนัก เพื่อให้เศรษฐกิจสามารถเติบโตต่อไปได้ โดยมีการคาดการณ์จากนักลงทุนว่าธนาคารกลางยุโรปอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 25 bps จนมาอยู่ที่ประมาณ 3.00% ในการประชุมวันที่ 30 มกราคม และมีแนวโน้มที่จะลดลงอีกในตลอดปี 2025 ซึ่งอาจส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ประมาณ 2% ภายในสิ้นปี นับว่าเป็นจุดใกล้เคียงที่ทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจไม่ชะลอตัวมากจนเกินไป

อัตราเงินในยูโรโซนเพิ่มขึ้นเป็น 2.4% ในเดือนธันวาคม นับว่าเป็นการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ 3 เดือนติดต่อกัน ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาดและการประมาณการเบื้องต้นของธนาคารกลางยุโรป โดยการเพิ่มขึ้นในครั้งนี้ส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากฐานในปีที่ผ่านมา เนื่องจากราคาพลังงานที่ลดลงอย่างรวดเร็วในปีที่แล้ว ในขณะที่ต้นทุนได้พลังงานเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในปีนี้ ในขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อภาคบริการเรื่องโตขึ้นเล็กน้อยที่ 4% จาก 3.9% ได้เงินเฟ้อสำหรับอาหารเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของอาหารแปรรูป ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงานที่ผันผวนทรงตัวอยู่ที่ 2.7% โดยธนาคารกลางยุโรปคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะกลับสู่เป้าหมายที่ 2% ภายในสิ้นปีนี้

ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของยูโรโซนเพิ่มขึ้น 1 จุดเป็น 18 ในเดือนมกราคม 2025 เป็นการเพิ่มขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะลดลงเล็กน้อยเป็น 16.9 อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจในกลุ่มประเทศของยูโรโซนยังคงเผชิญกับความกังวลและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจอยู่ ซึ่งเกิดจากการเติบโตของ GDP ที่ชะลอตัวลงในเยอรมนี, อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นและความไม่แน่นอนทางการเมือง นอกจากนี้ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายทางเศรษฐกิจของประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ ทำให้มีการคาดการณ์ว่ามีโอกาสเกือบ 60% ที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจจะไม่เปลี่ยนแปลงใดๆในปีนี้ 11% ที่คาดว่าเศรษฐกิจจะแย่ลง และ 29% คาดว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจจะดีขึ้น

ยูโรโซนมีดุลการค้าเกินดุลกว่า 16,400 ล้านยูโรในเดือนพฤศจิกายน ลดลงจาก 18,200 ล้านยูโรในเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 8,500 ล้านยูโร เนื่องจากการส่งออกลดลง 1.6% เมื่อเทียบกับปีก่อนเหลือ 248,300 ล้านยูโร ขณะที่การนำเข้าลดลง 1% เหลือ 231,900 ล้านยูโร เนื่องจากการส่งออกผลิตภัณฑ์พลังงานลดลง 16.5% ในขณะที่การส่งออกยานพาหนะและเครื่องจักรอื่นๆลดลง 6.7% ด้านการนำเข้าพบว่าได้รับแรงสนับสนุนจากการซื้ออาหารและเครื่องดื่มที่เพิ่มขึ้นกว่า 18.7% อย่างไรก็ตามการนำเข้าพลังงานลดลง 13%