ธนาคารกลางประชุมรับมือเศรษฐกิจ ECB คาดลดดอกเบี้ย
สัปดาห์สำคัญที่กำลังจะมาถึง ธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางแคนาดา (Bank of Canada) จะจัดการประชุมครั้งแรกของปี 2025 โดยธนาคารกลางยุโรปคาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 25 จุดพื้นฐาน เพื่อตอบสนองต่อการเติบโตที่อ่อนแอและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เกิดจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ แม้ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะตัดสินใจไม่ใช้นโยบายภาษีศุลกากรในวงกว้าง แต่การดำเนินการเฉพาะเจาะจงต่อสหภาพยุโรป แคนาดา เม็กซิโก และจีน ยังคงเป็นไปได้ ซึ่งอาจสร้างความท้าทายทั้งในด้านเงินเฟ้อและการเติบโตของเขตยูโร ขณะที่เงินยูโรแข็งค่าขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากการปรับปรุงกิจกรรมทางธุรกิจและการลดลงของภาคการผลิตที่ผ่อนคลายลง
คริสติน ลาการ์ด ประธาน ECB สนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยตั้งเป้าหมายอัตราที่เป็นกลางที่ 2% ภายในสิ้นปี นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 และลดลงในอัตราที่ช้าลงในช่วงต่อมา อย่างไรก็ตาม ผู้กำหนดนโยบายยังคงระมัดระวัง โดยเน้นความสำคัญของการปรับนโยบายตามข้อมูลและการติดตามความเสี่ยงจากค่าเงินยูโรที่อ่อนค่าลง ความตึงเครียดด้านการค้า โดยเฉพาะภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ อาจกระตุ้นให้ ECB ดำเนินการเร็วยิ่งขึ้นเพื่อลดผลกระทบต่อการเติบโตและเงินเฟ้อ
ทั้งนี้ สหภาพยุโรปกำลังเผชิญกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่ซับซ้อน จากข้อพิพาททางการค้า ความท้าทายด้านการคลัง และความต้องการงบประมาณด้านกลาโหมที่เพิ่มขึ้น นักวิเคราะห์เสนอวิธีตอบสนองต่อภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ตั้งแต่การตอบโต้ไปจนถึงการยอมอ่อนข้อ เช่น การนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกัน European Banking Authority กำลังดำเนินการทดสอบความแข็งแกร่งทางการเงิน (stress test) เพื่อประเมินความสามารถของธนาคารในยุโรปในการรับมือกับผลกระทบจากความตึงเครียดทางการค้า
ด้านความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและธุรกิจในเขตยูโรมีการปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย แม้ว่าจะยังคงมีความแตกต่างระหว่างภูมิภาค โดยเยอรมนีมีสัญญาณของการทรงตัว ขณะที่ฝรั่งเศสยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนทั้งในด้านการเมืองและเศรษฐกิจ ด้านกลาโหม ยุโรปตะวันตกพิจารณาความจำเป็นด้านความมั่นคงที่เพิ่มขึ้นควบคู่กับข้อจำกัดด้านงบประมาณ ในขณะที่สหรัฐฯเรียกร้องให้เพิ่มการสนับสนุน NATO โดยความมีวินัยทางการคลังและยุทธศาสตร์ทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับนโยบายเศรษฐกิจและความมั่นคงของยุโรป
สำหรับเศรษฐกิจเยอรมนีในปี 2025 เผชิญกับอุปสรรคสำคัญหลายประการ โดยเฉพาะการบริโภคภาคครัวเรือนที่อ่อนแอ การส่งออกที่ลดลง และการเติบโตเชิงศักยภาพที่ซบเซา UBS Global Research ระบุว่าประเด็นเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกันและต้องการการแก้ไขเร่งด่วนจากผู้กำหนดนโยบายเพื่อหลีกเลี่ยงการชะงักงันที่ยืดเยื้อ ซึ่งการบริโภคภาคครัวเรือนที่ลดลงเกิดจากเงินเฟ้อที่สูงและค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น และได้บั่นทอนกำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ส่งผลให้การใช้จ่ายลดลง โดยการหดตัวดังกล่าวกระทบต่อภาคค้าปลีก บริการ และความเชื่อมั่นในด้านการลงทุนโดยรวม ก่อให้เกิดวัฏจักรลบที่ขัดขวางความพยายามในการฟื้นตัว
ทางด้านภาคการส่งออกของเยอรมนี ซึ่งเคยเป็นจุดแข็งทางเศรษฐกิจ กำลังประสบปัญหาในท่ามกลางการแข่งขันระดับโลก การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น และความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ทำให้การเติบโตของการส่งออกช้ากว่าความต้องการทั่วโลก ขณะที่คู่แข่งต่างใช้โอกาสในตลาดเกิดใหม่ได้ดีขึ้น ทำให้เยอรมนีต้องปรับกลยุทธ์ใหม่เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก โดยความท้าทายเชิงโครงสร้างยังส่งผลกระทบอย่างมากต่อศักยภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาวของเยอรมนี ประชากรที่มีอายุมากขึ้นและการเติบโตของแรงงานที่ซบเซา ได้จำกัดประสิทธิภาพการผลิตและนวัตกรรม ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อความสามารถของเศรษฐกิจในการเติบโตอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ รัฐบาลได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2025 ลงเหลือ 0.3% จากเดิมที่ 1.1% สะท้อนถึงความยากลำบากที่ยังคงดำเนินต่อเนื่องหลังจากเศรษฐกิจหดตัวต่อเนื่องมาหลายปี โดยข้อมูลทางการระบุว่าในปี 2024 เศรษฐกิจหดตัวลง 0.2% โดยมีสาเหตุจากการแข่งขันจากต่างประเทศ ต้นทุนพลังงานที่สูง อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น และความไม่แน่นอนในภาคธุรกิจ ความขัดแย้งทางการเมืองเกี่ยวกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจยังซ้ำเติมสถานการณ์การฟื้นตัว โดยเฉพาะจากการล่มสลายของรัฐบาลผสมของนายกรัฐมนตรีโอลาฟ โชลซ์ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลง โดยดัชนีความเชื่อมั่นปรับตัวลดลงเนื่องจากการใช้จ่ายภาคเอกชนที่อ่อนแอ ภาคก่อสร้างที่ซบเซา และความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ของเยอรมนี
ด้านค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการลดลงที่แย่ที่สุดในรอบกว่าหนึ่งปี จากความกังวลที่ลดลงเกี่ยวกับขอบเขตและผลกระทบของภาษีศุลกากรที่เสนอโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เนื่องจากความคาดหวังเกี่ยวกับสงครามการค้าทั่วโลกเริ่มคลี่คลาย หลังจากที่ความกลัวเรื่องเงินเฟ้อที่เกี่ยวข้องกับภาษีศุลกากรสูงได้ผลักดันให้ผลตอบแทนพันธบัตรและค่าเงินดอลลาร์เพิ่มขึ้นก่อนหน้านี้ โดยคำแถลงล่าสุดของทรัมป์เกี่ยวกับข้อตกลงการค้าที่อาจเกิดขึ้นกับจีนได้สร้างความมั่นใจให้ตลาด ส่งผลให้สถานการณ์กลับทิศทาง ขณะที่ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ลดลงเหลือ 107.45 หรือลดลง 1.79% ซึ่งถือเป็นการลดลงรายสัปดาห์ที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2023
ทั้งนี้ ดัชนีเศรษฐกิจสะท้อนสัญญาณที่หลากหลายสำหรับเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงในเดือนมกราคมเป็นครั้งแรกในรอบหกเดือน เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับภาษีศุลกากร ความมั่นคงของตลาดแรงงาน และต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่กิจกรรมทางธุรกิจชะลอตัวเช่นกัน โดยดัชนี Composite PMI ลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 9 เดือนที่ 52.4 ในเดือนมกราคม แม้ว่าภาคการผลิตจะมีสัญญาณการฟื้นตัวจากความเชื่อมั่นเกี่ยวกับการลดระเบียบข้อบังคับและการลดภาษีภายใต้รัฐบาลทรัมป์ ท่ามกลางยอดขายบ้านมือสองที่พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 10 เดือนในเดือนธันวาคม แม้ว่าตลาดที่อยู่อาศัยโดยรวมยังคงถูกจำกัดด้วยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และราคาที่สูง
ด้านธนาคารกลางสหรัฐฯ กำลังเตรียมการประชุมครั้งแรกของปี โดยคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในช่วง 4.25%-4.50% ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เพิ่มแรงกดดันให้ธนาคารกลางลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก ซึ่งทำให้สถานการณ์ซับซ้อนขึ้นในขณะที่ต้องจัดการผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดจากภาษีศุลกากรและนโยบายด้านการย้ายถิ่นฐาน
อย่างไรก็ดี ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อการค้าและตลาดเกิดใหม่ แม้ว่าค่าเงินดอลลาร์ที่เพิ่มขึ้นโดยทั่วไปจะทำให้ต้นทุนการค้าทั่วโลกเพิ่มขึ้น แต่นักเศรษฐศาสตร์ให้เหตุผลว่าผลกระทบอาจถูกประเมินเกินจริง โดยการค้าภาคบริการซึ่งมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินน้อยกว่าได้ช่วยลดผลกระทบบางส่วน นอกจากนี้ ตลาดเกิดใหม่ยังมีความเปราะบางต่อความเสี่ยงด้านค่าเงินน้อยกว่าในอดีต ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าต่อเนื่องอาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ตึงตัวขึ้นอีก โดยลดความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกและเพิ่มภาระหนี้สินภายนอก
ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (1H) CFD EUR/USD
แนวต้านสำคัญ : 1.0473, 1.0478, 1.0484
แนวรับสำคัญ : 1.0461, 1.0456, 1.0450
1H Outlook
ที่มา: TradingView
Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 1.0451 - 1.0461 แต่ไม่สามารถทะลุแนวรับที่ 1.0461 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.0473 และ SL ที่ประมาณ 1.0446 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Buy/Long 2 หากสามารถทะลุแนวต้านที่ช่วงราคา 1.0473 - 1.0483 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.0498 และ SL ที่ประมาณ 1.0456 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 1.0473 - 1.0483 แต่ไม่สามารถทะลุแนวต้านที่ 1.0473 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.0456 และ SL ที่ประมาณ 1.0488 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Sell/Short 2 หากสามารถทะลุแนวรับที่ช่วงราคา 1.0451 - 1.0461 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.0435 และ SL ที่ประมาณ 1.0478 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Pivot Points Jan 27, 2025 09:47AM GMT+7
Name
|
S3
|
S2
|
S1
|
Pivot Points
|
R1
|
R2
|
R3
|
---|---|---|---|---|---|---|---|
Classic | 1.0439 | 1.045 | 1.0456 | 1.0467 | 1.0473 | 1.0484 | 1.049 |
Fibonacci | 1.045 | 1.0456 | 1.0461 | 1.0467 | 1.0473 | 1.0478 | 1.0484 |
Camarilla | 1.0458 | 1.046 | 1.0461 | 1.0467 | 1.0465 | 1.0466 | 1.0468 |
Woodie's | 1.0437 | 1.0449 | 1.0454 | 1.0466 | 1.0471 | 1.0483 | 1.0488 |
DeMark's | - | - | 1.0454 | 1.0466 | 1.047 | - | - |
ที่มา: Investing 1, Investing 2
อัพเกรดความรู้เพิ่มเติม: คลิ