บทวิเคราะห์ EUR/USD วันที่ 27 มกราคม 2568

Create at 2 months ago (Jan 27, 2025 10:09)

ธนาคารกลางประชุมรับมือเศรษฐกิจ ECB คาดลดดอกเบี้ย

สัปดาห์สำคัญที่กำลังจะมาถึง ธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางแคนาดา (Bank of Canada) จะจัดการประชุมครั้งแรกของปี 2025 โดยธนาคารกลางยุโรปคาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 25 จุดพื้นฐาน เพื่อตอบสนองต่อการเติบโตที่อ่อนแอและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เกิดจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ แม้ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะตัดสินใจไม่ใช้นโยบายภาษีศุลกากรในวงกว้าง แต่การดำเนินการเฉพาะเจาะจงต่อสหภาพยุโรป แคนาดา เม็กซิโก และจีน ยังคงเป็นไปได้ ซึ่งอาจสร้างความท้าทายทั้งในด้านเงินเฟ้อและการเติบโตของเขตยูโร ขณะที่เงินยูโรแข็งค่าขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากการปรับปรุงกิจกรรมทางธุรกิจและการลดลงของภาคการผลิตที่ผ่อนคลายลง

คริสติน ลาการ์ด ประธาน ECB สนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยตั้งเป้าหมายอัตราที่เป็นกลางที่ 2% ภายในสิ้นปี นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 และลดลงในอัตราที่ช้าลงในช่วงต่อมา อย่างไรก็ตาม ผู้กำหนดนโยบายยังคงระมัดระวัง โดยเน้นความสำคัญของการปรับนโยบายตามข้อมูลและการติดตามความเสี่ยงจากค่าเงินยูโรที่อ่อนค่าลง ความตึงเครียดด้านการค้า โดยเฉพาะภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ อาจกระตุ้นให้ ECB ดำเนินการเร็วยิ่งขึ้นเพื่อลดผลกระทบต่อการเติบโตและเงินเฟ้อ

ทั้งนี้ สหภาพยุโรปกำลังเผชิญกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่ซับซ้อน จากข้อพิพาททางการค้า ความท้าทายด้านการคลัง และความต้องการงบประมาณด้านกลาโหมที่เพิ่มขึ้น นักวิเคราะห์เสนอวิธีตอบสนองต่อภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ตั้งแต่การตอบโต้ไปจนถึงการยอมอ่อนข้อ เช่น การนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกัน European Banking Authority กำลังดำเนินการทดสอบความแข็งแกร่งทางการเงิน (stress test) เพื่อประเมินความสามารถของธนาคารในยุโรปในการรับมือกับผลกระทบจากความตึงเครียดทางการค้า

ด้านความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและธุรกิจในเขตยูโรมีการปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย แม้ว่าจะยังคงมีความแตกต่างระหว่างภูมิภาค โดยเยอรมนีมีสัญญาณของการทรงตัว ขณะที่ฝรั่งเศสยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนทั้งในด้านการเมืองและเศรษฐกิจ ด้านกลาโหม ยุโรปตะวันตกพิจารณาความจำเป็นด้านความมั่นคงที่เพิ่มขึ้นควบคู่กับข้อจำกัดด้านงบประมาณ ในขณะที่สหรัฐฯเรียกร้องให้เพิ่มการสนับสนุน NATO โดยความมีวินัยทางการคลังและยุทธศาสตร์ทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับนโยบายเศรษฐกิจและความมั่นคงของยุโรป

สำหรับเศรษฐกิจเยอรมนีในปี 2025 เผชิญกับอุปสรรคสำคัญหลายประการ โดยเฉพาะการบริโภคภาคครัวเรือนที่อ่อนแอ การส่งออกที่ลดลง และการเติบโตเชิงศักยภาพที่ซบเซา UBS Global Research ระบุว่าประเด็นเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกันและต้องการการแก้ไขเร่งด่วนจากผู้กำหนดนโยบายเพื่อหลีกเลี่ยงการชะงักงันที่ยืดเยื้อ ซึ่งการบริโภคภาคครัวเรือนที่ลดลงเกิดจากเงินเฟ้อที่สูงและค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น และได้บั่นทอนกำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ส่งผลให้การใช้จ่ายลดลง โดยการหดตัวดังกล่าวกระทบต่อภาคค้าปลีก บริการ และความเชื่อมั่นในด้านการลงทุนโดยรวม ก่อให้เกิดวัฏจักรลบที่ขัดขวางความพยายามในการฟื้นตัว

ทางด้านภาคการส่งออกของเยอรมนี ซึ่งเคยเป็นจุดแข็งทางเศรษฐกิจ กำลังประสบปัญหาในท่ามกลางการแข่งขันระดับโลก การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น และความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ทำให้การเติบโตของการส่งออกช้ากว่าความต้องการทั่วโลก ขณะที่คู่แข่งต่างใช้โอกาสในตลาดเกิดใหม่ได้ดีขึ้น ทำให้เยอรมนีต้องปรับกลยุทธ์ใหม่เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก โดยความท้าทายเชิงโครงสร้างยังส่งผลกระทบอย่างมากต่อศักยภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาวของเยอรมนี ประชากรที่มีอายุมากขึ้นและการเติบโตของแรงงานที่ซบเซา ได้จำกัดประสิทธิภาพการผลิตและนวัตกรรม ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อความสามารถของเศรษฐกิจในการเติบโตอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ รัฐบาลได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2025 ลงเหลือ 0.3% จากเดิมที่ 1.1% สะท้อนถึงความยากลำบากที่ยังคงดำเนินต่อเนื่องหลังจากเศรษฐกิจหดตัวต่อเนื่องมาหลายปี โดยข้อมูลทางการระบุว่าในปี 2024 เศรษฐกิจหดตัวลง 0.2% โดยมีสาเหตุจากการแข่งขันจากต่างประเทศ ต้นทุนพลังงานที่สูง อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น และความไม่แน่นอนในภาคธุรกิจ ความขัดแย้งทางการเมืองเกี่ยวกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจยังซ้ำเติมสถานการณ์การฟื้นตัว โดยเฉพาะจากการล่มสลายของรัฐบาลผสมของนายกรัฐมนตรีโอลาฟ โชลซ์ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลง โดยดัชนีความเชื่อมั่นปรับตัวลดลงเนื่องจากการใช้จ่ายภาคเอกชนที่อ่อนแอ ภาคก่อสร้างที่ซบเซา และความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ของเยอรมนี

ด้านค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการลดลงที่แย่ที่สุดในรอบกว่าหนึ่งปี จากความกังวลที่ลดลงเกี่ยวกับขอบเขตและผลกระทบของภาษีศุลกากรที่เสนอโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เนื่องจากความคาดหวังเกี่ยวกับสงครามการค้าทั่วโลกเริ่มคลี่คลาย หลังจากที่ความกลัวเรื่องเงินเฟ้อที่เกี่ยวข้องกับภาษีศุลกากรสูงได้ผลักดันให้ผลตอบแทนพันธบัตรและค่าเงินดอลลาร์เพิ่มขึ้นก่อนหน้านี้ โดยคำแถลงล่าสุดของทรัมป์เกี่ยวกับข้อตกลงการค้าที่อาจเกิดขึ้นกับจีนได้สร้างความมั่นใจให้ตลาด ส่งผลให้สถานการณ์กลับทิศทาง ขณะที่ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ลดลงเหลือ 107.45 หรือลดลง 1.79% ซึ่งถือเป็นการลดลงรายสัปดาห์ที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2023

ทั้งนี้ ดัชนีเศรษฐกิจสะท้อนสัญญาณที่หลากหลายสำหรับเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงในเดือนมกราคมเป็นครั้งแรกในรอบหกเดือน เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับภาษีศุลกากร ความมั่นคงของตลาดแรงงาน และต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่กิจกรรมทางธุรกิจชะลอตัวเช่นกัน โดยดัชนี Composite PMI ลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 9 เดือนที่ 52.4 ในเดือนมกราคม แม้ว่าภาคการผลิตจะมีสัญญาณการฟื้นตัวจากความเชื่อมั่นเกี่ยวกับการลดระเบียบข้อบังคับและการลดภาษีภายใต้รัฐบาลทรัมป์ ท่ามกลางยอดขายบ้านมือสองที่พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 10 เดือนในเดือนธันวาคม แม้ว่าตลาดที่อยู่อาศัยโดยรวมยังคงถูกจำกัดด้วยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และราคาที่สูง

ด้านธนาคารกลางสหรัฐฯ กำลังเตรียมการประชุมครั้งแรกของปี โดยคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในช่วง 4.25%-4.50% ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เพิ่มแรงกดดันให้ธนาคารกลางลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก ซึ่งทำให้สถานการณ์ซับซ้อนขึ้นในขณะที่ต้องจัดการผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดจากภาษีศุลกากรและนโยบายด้านการย้ายถิ่นฐาน

อย่างไรก็ดี ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อการค้าและตลาดเกิดใหม่ แม้ว่าค่าเงินดอลลาร์ที่เพิ่มขึ้นโดยทั่วไปจะทำให้ต้นทุนการค้าทั่วโลกเพิ่มขึ้น แต่นักเศรษฐศาสตร์ให้เหตุผลว่าผลกระทบอาจถูกประเมินเกินจริง โดยการค้าภาคบริการซึ่งมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินน้อยกว่าได้ช่วยลดผลกระทบบางส่วน นอกจากนี้ ตลาดเกิดใหม่ยังมีความเปราะบางต่อความเสี่ยงด้านค่าเงินน้อยกว่าในอดีต ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าต่อเนื่องอาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ตึงตัวขึ้นอีก โดยลดความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกและเพิ่มภาระหนี้สินภายนอก

ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (1H) CFD EUR/USD

แนวต้านสำคัญ : 1.0473, 1.0478, 1.0484

แนวรับสำคัญ : 1.0461, 1.0456, 1.0450                  

1H Outlook

วิเคราะห์ EUR/USD ที่มา: TradingView    

Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 1.0451 - 1.0461 แต่ไม่สามารถทะลุแนวรับที่ 1.0461 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.0473 และ SL ที่ประมาณ 1.0446 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Buy/Long 2 หากสามารถทะลุแนวต้านที่ช่วงราคา 1.0473 - 1.0483 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.0498 และ SL ที่ประมาณ 1.0456 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้                 

Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 1.0473 - 1.0483 แต่ไม่สามารถทะลุแนวต้านที่ 1.0473 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.0456 และ SL ที่ประมาณ 1.0488 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Sell/Short 2 หากสามารถทะลุแนวรับที่ช่วงราคา 1.0451 - 1.0461 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.0435 และ SL ที่ประมาณ 1.0478 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Pivot Points Jan 27, 2025 09:47AM GMT+7

Name
S3
S2
S1
Pivot Points
R1
R2
R3
Classic 1.0439 1.045 1.0456 1.0467 1.0473 1.0484 1.049
Fibonacci 1.045 1.0456 1.0461 1.0467 1.0473 1.0478 1.0484
Camarilla 1.0458 1.046 1.0461 1.0467 1.0465 1.0466 1.0468
Woodie's 1.0437 1.0449 1.0454 1.0466 1.0471 1.0483 1.0488
DeMark's - - 1.0454 1.0466 1.047 - -

ที่มา: Investing 1Investing 2

______________________________
อัพเกรดความรู้เพิ่มเติม: คลิกที่นี่
รู้เท่าทันสถานการณ์โลกและบทวิเคราะห์เทคนิคขั้นสูง: คลิกที่นี่
Tags:

TECHNICAL ANALYSIS

ARTICLES