ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวหลากหลาย หลังเทคโนโลยีเผชิญการแข่งขันจาก DeepSeek
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดตลาดหลากหลายในวันจันทร์ โดยมีหุ้นในกลุ่มโทรคมนาคม การดูแลสุขภาพ และบริการผู้บริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้น ท่ามกลางหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี สาธารณูปโภค และอุตสาหกรรมที่ปรับตัวลดลง ดัชนี Nasdaq ลดลง 3.1% จากการปรับตัวลดลงของหุ้นเทคโนโลยีหลัก ดัชนี S&P 500 ลดลง 1.5% ในขณะที่ดัชนี Dow Jones Industrial Average เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.7%
หุ้น Nvidia (NASDAQ:NVDA) ร่วงลงอย่างหนักถึง 17% และหุ้นเทคโนโลยีอื่น ๆ เช่น AMD, Broadcom และ Microsoft ต่างปรับตัวลดลงอย่างมากเช่นกัน การเทขายดังกล่าวเกิดจากความกังวลด้านการแข่งขันหลังจากการเปิดตัวโมเดล AI ที่มีต้นทุนต่ำของบริษัท DeepSeek จากจีน ซึ่งทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับส่วนแบ่งการตลาดที่บริษัทในสหรัฐฯ อาจสูญเสีย โดยเฉพาะในกลุ่มฮาร์ดแวร์ AI
โมเดล AI ใหม่ของ DeepSeek ซึ่งสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพบนฮาร์ดแวร์ที่ไม่ซับซ้อนมาก ได้เพิ่มความเข้มข้นของการแข่งขันในระดับโลก และตั้งคำถามเกี่ยวกับมูลค่าที่สูงของบริษัท AI ในสหรัฐฯ เช่น Nvidia โดยนักวิเคราะห์จาก Wedbush และ Bernstein ระบุว่าการตอบสนองของตลาดเป็นการตอบสนองที่เกินจริง พร้อมย้ำถึงศักยภาพการเติบโตระยะยาวของการลงทุนใน AI พร้อมกับเสนอว่า นวัตกรรมจากบริษัทอย่าง DeepSeek อาจช่วยกระตุ้นความต้องการโดยรวมของธุรกิจการประมวลผล ซึ่งในที่สุดอาจเป็นประโยชน์ต่อบริษัทในสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์โดยรวมยังคงลดลง 9.2% ซึ่งเป็นการลดลงรายวันที่เลวร้ายที่สุดตั้งแต่เดือนมีนาคม 2020 ขณะที่ผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูล เช่น Digital Realty (-8.7%) และผู้จัดหาพลังงานอย่าง Vistra (-28.3%) ต่างได้รับผลกระทบอย่างหนักจากความกังวลเกี่ยวกับความต้องการ AI ที่เปลี่ยนแปลง
ทั้งนี้ ฤดูกาลรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 เริ่มต้นได้อย่างแข็งแกร่ง โดย 82% ของบริษัทในดัชนี S&P 500 ทำกำไรต่อหุ้น (EPS) ได้ดีกว่าที่คาด และ 63% รายงานรายได้สูงกว่าคาดการณ์ อย่างไรก็ตาม การปรับลดประมาณการ EPS ในปี 2025 ยังคงมีอยู่ แม้ว่าจะอยู่ในระดับเล็กน้อยตามข้อมูลของ RBC Capital Markets โดยในสัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์สำคัญสำหรับรายงานผลประกอบการ โดยมีบริษัทใหญ่ เช่น Boeing, Meta, Microsoft และ Tesla ที่มีกำหนดเผยแพร่ผลประกอบการ และถึงแม้จะมีความผันผวนในกลุ่มเทคโนโลยี แต่ตลาดโดยรวมยังคงแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นจากความคาดหวังของนโยบายการเงินที่มั่นคงและแรงกดดันเงินเฟ้อที่ลดลง
ด้านนักวิเคราะห์จาก Stifel เตือนว่าความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวอาจทำให้ดัชนี S&P 500 ลดลงเหลือ 5,500 จุดในปี 2025 โดยระบุข้อกังวลสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ ความไม่ราบรื่นจากการเปลี่ยนแปลงจากการเป็นผู้นำตลาดที่เน้นการเติบโตไปสู่การเป็นผู้นำตลาดที่เน้นมูลค่า อัตราเงินเฟ้อที่คงอยู่ (ซึ่งคาดว่า Core PCE จะอยู่ที่ 2.7%-2.9%) และผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้นพร้อมกับเส้นอัตราดอกเบี้ยที่แบนราบ โดยปัจจัยเหล่านี้อาจนำไปสู่สถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัวและการปรับฐานตลาด 10% ในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 Stifel คาดการณ์ว่ากลุ่ม Defensive Value เช่น สาธารณูปโภค ยา และเทคโนโลยีชีวภาพ จะมีผลประกอบการดีกว่ากลุ่ม Big Tech และ Cyclical Growth ในช่วงนี้
นักลงทุนยังคงจับตาการประชุมของ Federal Reserve ซึ่งคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลงที่ 4.25%-4.50% ตัวชี้วัดเงินเฟ้อของ Fed อย่างดัชนีราคา PCE และข้อมูล GDP ไตรมาส 4 จะให้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญเกี่ยวกับมุมมองเศรษฐกิ ขณะที่Goldman Sachs ได้เปรียบเทียบสถานการณ์กับสงครามการค้าในปี 2019 โดยเน้นถึงความเป็นไปได้ที่เงินเฟ้อจากภาษีศุลกากรอาจมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย
อย่างไรก็ดี ความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นที่ได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของ AI ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญ แม้ว่าการประเมินมูลค่าที่สูงและการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากผู้เล่นใหม่อย่าง DeepSeek จะส่งผลสำคัญต่อตลาด นักวิเคราะห์ชี้ว่าตลาดสหรัฐฯ พึ่งพาหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ (Mega-Cap) อย่างมาก ทำให้เปราะบางต่อความปั่นป่วนทางภูมิรัฐศาสตร์และเทคโนโลยี รายงานผลประกอบการและข้อมูลเศรษฐกิจที่จะประกาศเร็ว ๆ นี้ เช่น การเติบโต GDP และอัตราเงินเฟ้อ PCE คาดว่าจะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางตลาดและทดสอบความแข็งแกร่งของการฟื้นตัวในตลาดหุ้น
ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (1H) CFD US 500 [S&P 500]
แนวต้านสำคัญ : 6016.1, 6019.9, 6026.2
แนวรับสำคัญ : 6003.5, 5999.7, 5993.4
1H Outlook
ที่มา: TradingView
Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 5993.5 - 6003.5 แต่ไม่สามารถเบรกแนวรับที่ 6003.5 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 6018.9 และ SL ที่ประมาณ 5988.5 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Buy/Long 2 หากสามารถเบรกแนวต้านที่ช่วงราคา 6016.1 - 6026.1 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 6036.0 และ SL ที่ประมาณ 5999.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 6016.1 - 6026.1 แต่ไม่สามารถเบรกแนวต้านที่ 6016.1 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 6002.5 และ SL ที่ประมาณ 6031.1 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Sell/Short 2 หากสามารถเบรกแนวรับที่ช่วงราคา 5993.5 - 6003.5 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 5975.0 และ SL ที่ประมาณ 6021.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Pivot Points Jan 28, 2025 10:24AM GMT+7
Name
|
S3
|
S2
|
S1
|
Pivot Points
|
R1
|
R2
|
R3
|
---|---|---|---|---|---|---|---|
Classic | 5986.1 | 5993.4 | 6002.5 | 6009.8 | 6018.9 | 6026.2 | 6035.3 |
Fibonacci | 5993.4 | 5999.7 | 6003.5 | 6009.8 | 6016.1 | 6019.9 | 6026.2 |
Camarilla | 6007.1 | 6008.6 | 6010.1 | 6009.8 | 6013.1 | 6014.6 | 6016.1 |
Woodie's | 5987.1 | 5993.9 | 6003.5 | 6010.3 | 6019.9 | 6026.7 | 6036.3 |
DeMark's | - | - | 6006.1 | 6011.6 | 6022.5 | - | - |
ที่มา: Investing 1, Investing 2
อัพเกรดความรู้เพิ่มเติม: คลิ