BoE เตรียมปรับลดอัตราดอกเบี้ย ขณะที่เศรษฐกิจเผชิญความยากลำบาก ดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มแข็งค่า

ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ (BoE) คาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในวันพฤหัสบดีนี้ ซึ่งจะเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งที่สามตั้งแต่เริ่มต้นการระบาดของ COVID-19 ในปี 2020 การปรับลดดอกเบี้ยครั้งนี้เกิดขึ้นในขณะที่นโยบายการเงินพยายามหาสมดุลระหว่างการสนับสนุนเศรษฐกิจและการควบคุมภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ เศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรประสบปัญหาตั้งแต่กลางปี 2024 จากความกังวลเกี่ยวกับการขึ้นภาษีสำหรับธุรกิจ ความขัดแย้งทางการค้าระดับโลกที่อาจเกิดขึ้น และต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยพื้นฐานของ BoE จะยังคงอยู่ที่ 4.75% ซึ่งสูงที่สุดในบรรดาเศรษฐกิจหลัก แต่การคาดการณ์ว่าจะมีการลดดอกเบี้ย 0.25% ใกล้เคียงกับระดับของสหรัฐฯ และนอร์เวย์

อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรเริ่มแสดงสัญญาณการปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยในช่วงต้นปี 2025 โดยกิจกรรมทางธุรกิจเริ่มขยายตัว แต่การจ้างงานและความเชื่อมั่นในธุรกิจยังคงลดลง โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ล่าสุดแสดงการเติบโตที่อ่อนแอ แม้จะดีกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ แต่ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและตลาดงานที่ย่ำแย่ โดยเฉพาะจากการขึ้นภาษีผู้จ้างงานในช่วงที่ผ่านมา ยังคงเป็นปัญหาหลัก ขณะที่การขายปลีกลดลงอย่างมากในเดือนมกราคม และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงอย่างรุนแรง โดยหลายบริษัทระบุว่าการเลิกจ้างงานเกิดจากการเพิ่มเงินสมทบประกันสังคม หลังจากการเลิกจ้างงานเร่งตัวขึ้นในอัตราที่เร็วที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตการณ์การเงินปี 2009 ยกเว้นช่วงการระบาดของโรคระบาด ท่ามกลางการกดดันจากภาวะเงินเฟ้อต่อธุรกิจที่เพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้การตัดสินใจลดดอกเบี้ยของ BoE ยิ่งซับซ้อนขึ้น

ด้านการคาดการณ์เศรษฐกิจสำหรับสหราชอาณาจักรถูกปรับลดลง โดยมอร์แกน สแตนลีย์ลดการคาดการณ์การเติบโตของปี 2025 ลงเหลือ 0.9% จากการคาดการณ์ก่อนหน้าที่ 1.3% ซึ่งต่ำกว่าการคาดการณ์ของ BoE ที่ 1.5% ที่คำนึงถึงผลกระทบจากการใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้นในระยะสั้น โดยเศรษฐกิจของอังกฤษหยุดนิ่งในช่วงปลายปี 2024 และสัญญาณของความอ่อนแอยังคงทำให้นักลงทุนคาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2-3 ครั้งในปี 2025 ขณะที่แม้จะมีการฟื้นตัวเล็กน้อยในภาคบริการ แต่ภาคการผลิตยังคงหดตัว โดยมีการเลิกจ้างงานในโรงงานเพิ่มขึ้น ท่ามกลางต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากวัตถุดิบและค่าใช้จ่ายในการขนส่งที่คาดว่าจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจนโยบายของ BoE

ทั้งนี้ เศรษฐกิจที่ชะลอตัวของสหราชอาณาจักรกำลังส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ธุรกิจในอังกฤษยังคงมีทัศนคติในเชิงลบ โดยระดับความเชื่อมั่นลดลงเป็นเดือนที่ห้าติดต่อกัน ขณะที่สหพันธ์อุตสาหกรรมแห่งสหราชอาณาจักร (CBI) รายงานว่า ความเชื่อมั่นในภาคการผลิตลดลง โดยเฉพาะในเรื่องของภาษีเงินได้ การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบ แม้ว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง Rachel Reeves ได้เสนอแผนงานเพื่อกระตุ้นการเติบโต เช่น การสนับสนุนการขยายท่าอากาศยานฮีทโธรว์ แต่โครงการโครงสร้างพื้นฐานอาจใช้เวลาหลายปีถึงจะเห็นผลทางเศรษฐกิจ

ในขณะเดียวกัน ตลาดการเงินสะท้อนถึงความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น การอนุมัติสินเชื่อจำนองในเดือนธันวาคมเกินคาดการณ์ แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นในตลาดที่อยู่อาศัยก่อนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ BoE ที่คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม กองทุนหุ้นพบเงินทุนไหลออกอย่างมากในเดือนมกราคม เนื่องจากนักลงทุนระมัดระวังมากขึ้นแม้ว่าราคาหุ้นจะอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ด้านดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงไปถึงระดับต่ำสุดในรอบสัปดาห์เมื่อวันพุธที่ผ่านมา เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระดับโลกบรรเทาลง หลังจากเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ดอลลาร์ได้เพิ่มขึ้น 1.3% ไปแตะที่ 109.88 ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เตรียมที่จะกำหนดภาษีนำเข้า 25% จากเม็กซิโกและแคนาดา อย่างไรก็ตาม ดอลลาร์อ่อนตัวลงประมาณ 2% หลังจากที่มีการยกเว้นภาษีเป็นระยะเวลา 1 เดือนโดยเพิ่มความเข้มงวดในการรักษาความปลอดภัยชายแดน

ในขณะเดียวกัน การขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ในเดือนธันวาคมขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากการนำเข้าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งคาดว่าเกิดจากธุรกิจเร่งซื้อสินค้านำเข้าก่อนที่ภาษีที่อาจเกิดขึ้นจะมีผลบังคับใช้ โดยข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ได้เน้นย้ำถึงความไม่สมดุลในการค้ากับจีน เม็กซิโก และแคนาดา ซึ่งเป็นสามประเทศที่ถูกกำหนดเป้าหมายโดยนโยบายภาษีของทรัมป์

ด้านดัชนีเศรษฐกิจชี้ให้เห็นถึงการบรรเทาความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่อาจเกิดขึ้น เนื่องจากการเติบโตของภาคบริการในสหรัฐฯ ชะลอตัวอย่างไม่คาดคิดในเดือนมกราคม ดัชนี PMI ภาคบริการของ ISM แสดงให้เห็นถึงการชะลอในคำสั่งซื้อใหม่และต้นทุนการผลิตที่ลดลง ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการผ่อนคลายของแรงกดดันด้านราคา ขณะที่ในตลาดแรงงาน การจ้างงานภาคเอกชนยังคงแข็งแกร่ง โดยนายจ้างในสหรัฐฯ เพิ่มงาน 183,000 ตำแหน่งในเดือนมกราคม ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 148,000 ตำแหน่ง แม้จะมีตัวเลขการจ้างงานในเชิงบวก แต่ตำแหน่งงานว่างกลับลดลงมากกว่าที่คาดไว้ในเดือนธันวาคม ซึ่งอาจทำให้การเติบโตของค่าจ้างชะลอตัวลง

ทั้งนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงอัตราดอกเบี้ยที่ 4.25%-4.50% และพักการปรับลดอัตราดอกเบี้ยล่าสุด โดยผู้กำหนดนโยบายส่งสัญญาณถึงแนวทางที่ระมัดระวังในการผ่อนคลายการเงินในอนาคต โดยอ้างถึงสภาวะตลาดแรงงานที่มั่นคงและความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการค้าของทรัมป์

ด้วยเหตุนี้ แนวโน้มในอนาคตของคู่เงิน GBP/USD น่าจะยังคงความผันผวน เนื่องจากการคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศอังกฤษเพื่อรับมือกับเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของสหราชอาณาจักร อาจกดดันค่าเงินปอนด์ โดยเฉพาะเมื่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยทำให้ระดับอัตราดอกเบี้ยของสหราชอาณาจักรใกล้เคียงกับระดับของสหรัฐฯ ในขณะเดียวกัน แนวทางระมัดระวังของธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจสนับสนุนค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่นักลงทุนจับตาดูตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่สำคัญจากทั้งสองประเทศ ดอลลาร์สหรัฐฯ อาจยังคงความแข็งแกร่งในระยะสั้น เว้นแต่สหราชอาณาจักรจะแสดงสัญญาณการฟื้นตัว โดยเฉพาะในด้านความเชื่อมั่นทางธุรกิจและตลาดที่อยู่อาศัย

ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (30Min) CFD GBP/USD

แนวต้านสำคัญ : 1.2504, 1.2509, 1.2515

แนวรับสำคัญ : 1.2492, 1.2487 , 1.2481              

30Min Outlook      

ที่มา: TradingView  

Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 1.2480 - 1.2492 แต่ไม่สามารถเบรกแนวรับที่ 1.2492 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.2504 และ SL ที่ประมาณ 1.2474 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Buy/Long 2 หากสามารถเบรกแนวต้านที่ช่วงราคา 1.2504 - 1.2516 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.2529 และ SL ที่ประมาณ 1.2486 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้                 

Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 1.2504 - 1.2516 แต่ไม่สามารถเบรกแนวต้าน 1.2504 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.2487 และ SL ที่ประมาณ 1.2522 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Sell/Short 2 หากสามารถเบรกแนวรับที่ช่วงราคา 1.2480 - 1.2492 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.2463 และ SL ที่ประมาณ 1.2510 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Pivot Points Feb 6, 2025 09:55AM GMT+7