ธนาคารกลางยุโรปมีแนวโน้มที่จะใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินมากขึ้น

ยูโรแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนตอบสนองต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการด้านภาษีการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยการปรับขึ้นภาษีเหล่านี้ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ในขณะเดียวกัน จีนได้มีการตอบโต้มาตรการภาษีของสหรัฐฯ และออกมาตราการการจัดเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ 10-15% ตามแต่ละประเภทของสินค้า ส่งผลให้ความตึงเครียดระหว่าง 2 เศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกทวีความรุนแรงขึ้น ในขณะเดียวกัน กิจกรรมทางเศรษฐกิจในยูโรโซนกลับมามีแนวโน้มที่ดีขึ้นอีกครั้งหลังจากที่หดตัวลง 2 เดือนติดต่อกัน นอกจากนี้ ธนาคารกลางยุโรปยังระบุอีกว่าอาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนมีนาคม และแสดงความคิดเห็นถึงมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ว่าอาจทำให้เกิดแรงกดดันจากภาวะเงินฝืดมากยิ่งขึ้น

PMI ภาคบริการในยูโรโซนอยู่ที่ 51.3 ในเดือนมกราคม ลดลงเล็กน้อยจาก 51.6 ในเดือนธันวาคม ตัวเลขล่าสุดบ่งชี้ถึงการขยายตัวเล็กน้อยของผลผลิตภาคบริการ ซึ่งได้รับแรงหนุนจากคำสั่งซื้อใหม่ที่เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่สองติดต่อกัน ซึ่งขับเคลื่อนโดยอุปสงค์ในประเทศ การเติบโตของการจ้างงานเร่งตัวขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงปลายปี 2024 ในขณะที่ปริมาณงานค้างลดลงในอัตราที่เร็วกว่า ในด้านราคา ต้นทุนปัจจัยการผลิตเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบเก้าเดือน ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อราคาขายยังคงอยู่ที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2024 ในขณะเดียวกัน ความเชื่อมั่นทางธุรกิจยังคงเป็นไปในเชิงบวก แม้ว่าจะอ่อนตัวลงเล็กน้อยจากเดือนก่อน

ด้าน PMI ภาคการผลิตของยูโรโซนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 46.6 ในเดือนมกราคม แม้ว่าตัวเลขดังกล่าวยังคงแสดงให้เห็นถึงการชะลอตัวในภาคการผลิต แต่ผลผลิตที่สามารถทำได้และคำสั่งซื้อใหม่เริ่มมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม อัตราการจ้างงานยังคงลดลงต่อเนื่อง เนื่องจากบริษัทต่างๆ จำเป็นต้องควบคุมต้นทุนในการผลิตให้รัดกุมมากขึ้น ในขณะที่ ราคาสินค้าไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนักเมื่อเทียบกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น เนื่องจากบริษัทต่างๆ เลือกที่จะไม่ส่งต่อต้นทุนที่สูงขึ้นไปยังลูกค้า

อัตราเงินเฟ้อในยูโรโซนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 2.5% เมื่อเทียบเป็นรายปีในเดือนมกราคม จาก 2.4% ในเดือนธันวาคม โดยได้รับแรงหนุนหลักจากต้นทุนพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วกว่า  1.8% ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อสำหรับสินค้าอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ไม่ใช่พลังงานยังคงทรงตัวอยู่ที่ 0.5% อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อส่วนใหญ่ยังคงเพิ่มขึ้นในภาคบริการ เช่น ราคาอาหารและอาหารเพิ่มขึ้นกว่า 2.3% ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงานที่ผันผวน ยังคงอยู่ที่ 2.7% เป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน

ธนาคารกลางยุโรปปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 25 bps ในเดือนมกราคม สอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด โดยลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลงเหลือ 2.75% อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ลงเหลือ 2.90% และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำ (MRR) ลงเหลือ 3.15% การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงแนวโน้มการคาดการณ์เงินเฟ้อของ ECB ที่อาจปรับลดลงได้ในอนาคต แม้ว่าเงินเฟ้อในประเทศล่าสุดยังคงสูงขึ้นเนื่องจากการปรับขึ้นค่าจ้างเพื่อดึงดูดพนักงานที่มีประสบการณ์ อย่างไรก็ตาม ผลกำไรของแต่ละบริษัทอาจลดลงเล็กน้อยจากผลกระทบของเงินเฟ้อบางส่วน แต่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ ECB คาดว่าจะช่วยบรรเทาต้นทุนการกู้ยืมสำหรับบริษัทและครัวเรือนอย่างค่อยเป็นค่อยไปได้