บทวิเคราะห์ EUR/USD วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568

Create at 1 month ago (Feb 10, 2025 10:09)

ธนาคารกลางยุโรปส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม ขณะภาวะเศรษฐกิจยูโรโซนยังไม่ชัดเจน

ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ส่งสัญญาณถึงความจำเป็นในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งก่อนที่จะถึงระดับที่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ตามรายงานเศรษฐกิจล่าสุด อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่เป็นกลาง หรือระดับที่นโยบายการเงินไม่กระตุ้นหรือชะลอการเติบโต ถูกประเมินให้อยู่ระหว่าง 1.75% ถึง 2.25% ซึ่งต่ำกว่าช่วง 1.75% ถึง 2.5% ที่นางคริสติน ลาการ์ด ประธาน ECB เคยกล่าวไว้เล็กน้อย ทำให้เกิดการคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม โดยปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่ 2.75% ซึ่งหมายความว่าจำเป็นต้องลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกสองครั้ง ครั้งละ 25 จุดพื้นฐาน เพื่อให้ถึงเพดานบนของช่วงอัตราดอกเบี้ยที่เป็นกลาง นักวิเคราะห์ตลาดคาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อยสามถึงสี่ครั้งในปีนี้ โดยมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอเป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันการตัดสินใจดังกล่าว

ทั้งนี้ แนวโน้มเศรษฐกิจของยูโรโซนยังคงหลากหลาย แม้ว่าความกดดันด้านเงินเฟ้อจะยังคงอยู่ แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจกลับชะลอตัว โดยในเดือนมกราคม อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้นเป็น 2.5% จาก 2.4% ในเดือนธันวาคม เนื่องจากต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังคงทรงตัวที่ 2.7% ขณะที่ ECB ได้ปรับลดต้นทุนการกู้ยืมเป็นครั้งที่สี่ติดต่อกัน และส่งสัญญาณถึงการปรับลดเพิ่มเติม เนื่องจากคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะกลับสู่เป้าหมาย 2% ภายในช่วงปลายฤดูร้อน นอกจากนี้ ความตึงเครียดทางการค้าทั่วโลก โดยเฉพาะการขู่ขึ้นภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ต่อสหภาพยุโรป ยังก่อให้เกิดความเสี่ยงเพิ่มเติม ซึ่งข้อจำกัดทางการค้าอาจชะลอการเติบโตจากการลดลงของอุปสงค์ต่อการส่งออกยุโรป ขณะที่มาตรการตอบโต้ของยุโรปอาจผลักดันอัตราเงินเฟ้อภายในประเทศให้สูงขึ้นจากต้นทุนการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น

ด้านข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดของยูโรโซนสะท้อนภาพที่หลากหลาย กิจกรรมทางธุรกิจเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวเมื่อต้นปี โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อแบบผสม (PMI) เพิ่มขึ้นเป็น 50.2 ในเดือนมกราคม ซึ่งสูงกว่าระดับที่บ่งชี้ถึงการขยายตัวเล็กน้อย ท่ามกลางการเติบโตในภาคบริการที่ช่วยชดเชยจุดอ่อนในภาคการผลิตที่ยังคงเผชิญกับอุปสงค์ที่ลดลงจากจีนและความกังวลเกี่ยวกับภาษีการค้า ขณะที่ในเยอรมนี การส่งออกเพิ่มขึ้นเกินคาดในเดือนธันวาคม แต่การผลิตภาคอุตสาหกรรมกลับลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ สะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวม

นอกจากนี้ ผู้กำหนดนโยบายของสหภาพยุโรปกำลังพิจารณาปรับเปลี่ยนกฎทางการคลังเพื่อให้สามารถเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาลด้านกลาโหมได้โดยไม่ละเมิดข้อจำกัดด้านงบประมาณ ด้วยความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสงครามรัสเซีย-ยูเครน ผู้นำสหภาพยุโรปกำลังผลักดันให้เกิดความยืดหยุ่นมากขึ้นในการใช้จ่ายทางทหาร โดยข้อเสนอจากโปแลนด์แนะนำให้ขยายคำนิยามของการลงทุนด้านกลาโหมให้ครอบคลุมการสนับสนุนเงินทุนสำหรับการผลิตอาวุธและโครงสร้างพื้นฐานแบบใช้คู่ (dual-use infrastructure) ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้อาจช่วยให้การใช้จ่ายบางส่วนด้านกลาโหมได้รับการยกเว้นจากข้อจำกัดทางการคลังของสหภาพยุโรป ทำให้รัฐบาลมีพื้นที่ทางการคลังมากขึ้น

ในขณะเดียวกัน ดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นในการซื้อขายที่ผันผวนเมื่อวันศุกร์ หลังจากมีรายงานการจ้างงานที่ชะลอตัวในเดือนมกราคม แต่ยังมีการลดลงของอัตราการว่างงานสู่ระดับ 4.0% ข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยออกไปอย่างน้อยจนถึงเดือนมิถุนายน นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์ยังได้รับแรงหนุนจากการประกาศของประธานาธิบดีทรัมป์เกี่ยวกับมาตรการภาษีตอบโต้ต่อหลายประเทศ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีปัจจัยหนุนในระยะสั้น ดัชนีดอลลาร์ยังคงมีแนวโน้มลดลงในสัปดาห์นี้ เนื่องจากความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับสงครามการค้าทั่วโลกเริ่มคลี่คลาย

ทั้งนี้ รายงานการจ้างงานล่าสุดจากสำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐฯ (BLS) แสดงให้เห็นว่า การจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 143,000 ตำแหน่งในเดือนมกราคม ต่ำกว่าการปรับทบทวนตัวเลขของเดือนธันวาคมที่ 307,000 ตำแหน่ง และต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 170,000 ตำแหน่ง ขณะที่การเติบโตของค่าจ้างยังคงแข็งแกร่ง โดยค่าจ้างเฉลี่ยต่อชั่วโมงเพิ่มขึ้น 0.5% สูงกว่าการคาดการณ์ที่ 0.3%

แม้การเติบโตของการจ้างงานจะชะลอตัวลง แต่ธนาคารกลางสหรัฐฯ คาดว่าจะยังไม่เร่งรีบในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากตลาดแรงงานที่ยังคงแข็งแกร่งช่วยสนับสนุนการใช้จ่ายของผู้บริโภคและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยรวม อย่างไรก็ตาม ความกังวลยังคงอยู่เกี่ยวกับนโยบายด้านผู้อพยพของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และข้อเสนอในการเก็บภาษีนำเข้า ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า นอกจากนี้ ความคาดหวังเงินเฟ้อยังเพิ่มสูงขึ้น โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกนรายงานว่าแนวโน้มเงินเฟ้อในช่วงหนึ่งปีข้างหน้าสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2023 ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นทำให้การตัดสินใจของ Fed ซับซ้อนมากขึ้น และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลงอย่างไม่คาดคิดในเดือนกุมภาพันธ์ โดยแตะระดับต่ำสุดในรอบเจ็ดเดือน เนื่องจากชาวอเมริกันมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการขู่ขึ้นภาษีของทรัมป์

ในเศรษฐกิจโดยรวม สต็อกสินค้าคงคลังขายส่งของสหรัฐฯ ลดลงในเดือนธันวาคม ซึ่งสะท้อนถึงยอดขายที่แข็งแกร่ง แต่ในขณะเดียวกันก็ส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวม โดยปริมาณสินค้าคงคลัง ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของ GDP ลดลง 0.5% ตามที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่ยอดขายส่งเพิ่มขึ้น 1.0% ซึ่งการลดลงของการลงทุนในสินค้าคงคลังมีส่วนทำให้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่สี่ชะลอตัวลงเหลือ 2.3% จาก 3.1% ในไตรมาสก่อนหน้า

ในขณะเดียวกัน สกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ พยายามสร้างความมั่นใจให้กับตลาด โดยเน้นย้ำว่า แม้ว่าทรัมป์จะสนับสนุนอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง แต่รัฐบาลจะไม่กดดัน Fed ให้ลดอัตราดอกเบี้ย แต่จะให้ความสำคัญกับการบริหารอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีแทน

อย่างไรก็ดี หลังรายงานการจ้างงาน นักวิเคราะห์จาก Macquarie ได้ปรับประมาณการใหม่ โดยคาดว่า Fed จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมตลอดทั้งปี แม้ว่ารายงานจะแสดงให้เห็นถึงการเติบโตของการจ้างงานที่อ่อนแอลง แต่ก็สะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจในภาพรวม ด้วยเหตุนี้ คู่สกุล EUR/USD จึงมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับแรงกดดันขาลงในระยะสั้นเนื่องจากความคาดหวังเกี่ยวกับนโยบายการเงินที่แตกต่างกัน แม้จะมีสัญญาณบางอย่างที่บ่งชี้ถึงความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจในเขตยูโร แต่ความอ่อนแออย่างต่อเนื่องของข้อมูลการผลิตและอัตราเงินเฟ้อที่หลากหลายบ่งชี้ว่าค่าเงินยูโรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นได้จำกัด

ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (1D) CFD EUR/USD

แนวต้านสำคัญ : 1.0314, 1.0321, 1.0332

แนวรับสำคัญ : 1.0292, 1.0285, 1.0274                          

1D Outlook    

วิเคราะห์ EUR/USD ที่มา: TradingView

Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 1.0252 - 1.0292 แต่ไม่สามารถทะลุแนวรับที่ 1.0292 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.0321 และ SL ที่ประมาณ 1.0232 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Buy/Long 2 หากสามารถทะลุแนวต้านที่ช่วงราคา 1.0314 - 1.0354 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.0367 และ SL ที่ประมาณ 1.0272 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้                 

Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 1.0314 - 1.0354 แต่ไม่สามารถทะลุแนวต้านที่ 1.0314 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.0292 และ SL ที่ประมาณ 1.0374 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Sell/Short 2 หากสามารถทะลุแนวรับที่ช่วงราคา 1.0252 - 1.0292 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.0238 และ SL ที่ประมาณ 1.0334 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Pivot Points Feb 10, 2025 09:52AM GMT+7

Name
S3
S2
S1
Pivot Points
R1
R2
R3
Classic 1.0263 1.0274 1.0292 1.0303 1.0321 1.0332 1.035
Fibonacci 1.0274 1.0285 1.0292 1.0303 1.0314 1.0321 1.0332
Camarilla 1.0302 1.0305 1.0307 1.0303 1.0313 1.0315 1.0318
Woodie's 1.0267 1.0276 1.0296 1.0305 1.0325 1.0334 1.0354
DeMark's - - 1.0298 1.0306 1.0327 - -

ที่มา: Investing 1Investing 2

______________________________
อัพเกรดความรู้เพิ่มเติม: คลิกที่นี่
รู้เท่าทันสถานการณ์โลกและบทวิเคราะห์เทคนิคขั้นสูง: คลิกที่นี่
Tags:

TECHNICAL ANALYSIS

ARTICLES