ธนาคารกลางยุโรปส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม ขณะภาวะเศรษฐกิจยูโรโซนยังไม่ชัดเจน
ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ส่งสัญญาณถึงความจำเป็นในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งก่อนที่จะถึงระดับที่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ตามรายงานเศรษฐกิจล่าสุด อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่เป็นกลาง หรือระดับที่นโยบายการเงินไม่กระตุ้นหรือชะลอการเติบโต ถูกประเมินให้อยู่ระหว่าง 1.75% ถึง 2.25% ซึ่งต่ำกว่าช่วง 1.75% ถึง 2.5% ที่นางคริสติน ลาการ์ด ประธาน ECB เคยกล่าวไว้เล็กน้อย ทำให้เกิดการคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม โดยปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่ 2.75% ซึ่งหมายความว่าจำเป็นต้องลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกสองครั้ง ครั้งละ 25 จุดพื้นฐาน เพื่อให้ถึงเพดานบนของช่วงอัตราดอกเบี้ยที่เป็นกลาง นักวิเคราะห์ตลาดคาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อยสามถึงสี่ครั้งในปีนี้ โดยมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอเป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันการตัดสินใจดังกล่าว
ทั้งนี้ แนวโน้มเศรษฐกิจของยูโรโซนยังคงหลากหลาย แม้ว่าความกดดันด้านเงินเฟ้อจะยังคงอยู่ แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจกลับชะลอตัว โดยในเดือนมกราคม อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้นเป็น 2.5% จาก 2.4% ในเดือนธันวาคม เนื่องจากต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังคงทรงตัวที่ 2.7% ขณะที่ ECB ได้ปรับลดต้นทุนการกู้ยืมเป็นครั้งที่สี่ติดต่อกัน และส่งสัญญาณถึงการปรับลดเพิ่มเติม เนื่องจากคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะกลับสู่เป้าหมาย 2% ภายในช่วงปลายฤดูร้อน นอกจากนี้ ความตึงเครียดทางการค้าทั่วโลก โดยเฉพาะการขู่ขึ้นภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ต่อสหภาพยุโรป ยังก่อให้เกิดความเสี่ยงเพิ่มเติม ซึ่งข้อจำกัดทางการค้าอาจชะลอการเติบโตจากการลดลงของอุปสงค์ต่อการส่งออกยุโรป ขณะที่มาตรการตอบโต้ของยุโรปอาจผลักดันอัตราเงินเฟ้อภายในประเทศให้สูงขึ้นจากต้นทุนการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น
ด้านข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดของยูโรโซนสะท้อนภาพที่หลากหลาย กิจกรรมทางธุรกิจเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวเมื่อต้นปี โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อแบบผสม (PMI) เพิ่มขึ้นเป็น 50.2 ในเดือนมกราคม ซึ่งสูงกว่าระดับที่บ่งชี้ถึงการขยายตัวเล็กน้อย ท่ามกลางการเติบโตในภาคบริการที่ช่วยชดเชยจุดอ่อนในภาคการผลิตที่ยังคงเผชิญกับอุปสงค์ที่ลดลงจากจีนและความกังวลเกี่ยวกับภาษีการค้า ขณะที่ในเยอรมนี การส่งออกเพิ่มขึ้นเกินคาดในเดือนธันวาคม แต่การผลิตภาคอุตสาหกรรมกลับลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ สะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวม
นอกจากนี้ ผู้กำหนดนโยบายของสหภาพยุโรปกำลังพิจารณาปรับเปลี่ยนกฎทางการคลังเพื่อให้สามารถเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาลด้านกลาโหมได้โดยไม่ละเมิดข้อจำกัดด้านงบประมาณ ด้วยความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสงครามรัสเซีย-ยูเครน ผู้นำสหภาพยุโรปกำลังผลักดันให้เกิดความยืดหยุ่นมากขึ้นในการใช้จ่ายทางทหาร โดยข้อเสนอจากโปแลนด์แนะนำให้ขยายคำนิยามของการลงทุนด้านกลาโหมให้ครอบคลุมการสนับสนุนเงินทุนสำหรับการผลิตอาวุธและโครงสร้างพื้นฐานแบบใช้คู่ (dual-use infrastructure) ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้อาจช่วยให้การใช้จ่ายบางส่วนด้านกลาโหมได้รับการยกเว้นจากข้อจำกัดทางการคลังของสหภาพยุโรป ทำให้รัฐบาลมีพื้นที่ทางการคลังมากขึ้น
ในขณะเดียวกัน ดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นในการซื้อขายที่ผันผวนเมื่อวันศุกร์ หลังจากมีรายงานการจ้างงานที่ชะลอตัวในเดือนมกราคม แต่ยังมีการลดลงของอัตราการว่างงานสู่ระดับ 4.0% ข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยออกไปอย่างน้อยจนถึงเดือนมิถุนายน นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์ยังได้รับแรงหนุนจากการประกาศของประธานาธิบดีทรัมป์เกี่ยวกับมาตรการภาษีตอบโต้ต่อหลายประเทศ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีปัจจัยหนุนในระยะสั้น ดัชนีดอลลาร์ยังคงมีแนวโน้มลดลงในสัปดาห์นี้ เนื่องจากความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับสงครามการค้าทั่วโลกเริ่มคลี่คลาย
ทั้งนี้ รายงานการจ้างงานล่าสุดจากสำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐฯ (BLS) แสดงให้เห็นว่า การจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 143,000 ตำแหน่งในเดือนมกราคม ต่ำกว่าการปรับทบทวนตัวเลขของเดือนธันวาคมที่ 307,000 ตำแหน่ง และต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 170,000 ตำแหน่ง ขณะที่การเติบโตของค่าจ้างยังคงแข็งแกร่ง โดยค่าจ้างเฉลี่ยต่อชั่วโมงเพิ่มขึ้น 0.5% สูงกว่าการคาดการณ์ที่ 0.3%
แม้การเติบโตของการจ้างงานจะชะลอตัวลง แต่ธนาคารกลางสหรัฐฯ คาดว่าจะยังไม่เร่งรีบในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากตลาดแรงงานที่ยังคงแข็งแกร่งช่วยสนับสนุนการใช้จ่ายของผู้บริโภคและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยรวม อย่างไรก็ตาม ความกังวลยังคงอยู่เกี่ยวกับนโยบายด้านผู้อพยพของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และข้อเสนอในการเก็บภาษีนำเข้า ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า นอกจากนี้ ความคาดหวังเงินเฟ้อยังเพิ่มสูงขึ้น โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกนรายงานว่าแนวโน้มเงินเฟ้อในช่วงหนึ่งปีข้างหน้าสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2023 ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นทำให้การตัดสินใจของ Fed ซับซ้อนมากขึ้น และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลงอย่างไม่คาดคิดในเดือนกุมภาพันธ์ โดยแตะระดับต่ำสุดในรอบเจ็ดเดือน เนื่องจากชาวอเมริกันมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการขู่ขึ้นภาษีของทรัมป์
ในเศรษฐกิจโดยรวม สต็อกสินค้าคงคลังขายส่งของสหรัฐฯ ลดลงในเดือนธันวาคม ซึ่งสะท้อนถึงยอดขายที่แข็งแกร่ง แต่ในขณะเดียวกันก็ส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวม โดยปริมาณสินค้าคงคลัง ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของ GDP ลดลง 0.5% ตามที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่ยอดขายส่งเพิ่มขึ้น 1.0% ซึ่งการลดลงของการลงทุนในสินค้าคงคลังมีส่วนทำให้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่สี่ชะลอตัวลงเหลือ 2.3% จาก 3.1% ในไตรมาสก่อนหน้า
ในขณะเดียวกัน สกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ พยายามสร้างความมั่นใจให้กับตลาด โดยเน้นย้ำว่า แม้ว่าทรัมป์จะสนับสนุนอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง แต่รัฐบาลจะไม่กดดัน Fed ให้ลดอัตราดอกเบี้ย แต่จะให้ความสำคัญกับการบริหารอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีแทน
อย่างไรก็ดี หลังรายงานการจ้างงาน นักวิเคราะห์จาก Macquarie ได้ปรับประมาณการใหม่ โดยคาดว่า Fed จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมตลอดทั้งปี แม้ว่ารายงานจะแสดงให้เห็นถึงการเติบโตของการจ้างงานที่อ่อนแอลง แต่ก็สะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจในภาพรวม ด้วยเหตุนี้ คู่สกุล EUR/USD จึงมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับแรงกดดันขาลงในระยะสั้นเนื่องจากความคาดหวังเกี่ยวกับนโยบายการเงินที่แตกต่างกัน แม้จะมีสัญญาณบางอย่างที่บ่งชี้ถึงความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจในเขตยูโร แต่ความอ่อนแออย่างต่อเนื่องของข้อมูลการผลิตและอัตราเงินเฟ้อที่หลากหลายบ่งชี้ว่าค่าเงินยูโรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นได้จำกัด
ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (1D) CFD EUR/USD
แนวต้านสำคัญ : 1.0314, 1.0321, 1.0332
แนวรับสำคัญ : 1.0292, 1.0285, 1.0274
1D Outlook
ที่มา: TradingView
Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 1.0252 - 1.0292 แต่ไม่สามารถทะลุแนวรับที่ 1.0292 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.0321 และ SL ที่ประมาณ 1.0232 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Buy/Long 2 หากสามารถทะลุแนวต้านที่ช่วงราคา 1.0314 - 1.0354 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.0367 และ SL ที่ประมาณ 1.0272 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 1.0314 - 1.0354 แต่ไม่สามารถทะลุแนวต้านที่ 1.0314 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.0292 และ SL ที่ประมาณ 1.0374 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Sell/Short 2 หากสามารถทะลุแนวรับที่ช่วงราคา 1.0252 - 1.0292 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.0238 และ SL ที่ประมาณ 1.0334 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Pivot Points Feb 10, 2025 09:52AM GMT+7
Name
|
S3
|
S2
|
S1
|
Pivot Points
|
R1
|
R2
|
R3
|
---|---|---|---|---|---|---|---|
Classic | 1.0263 | 1.0274 | 1.0292 | 1.0303 | 1.0321 | 1.0332 | 1.035 |
Fibonacci | 1.0274 | 1.0285 | 1.0292 | 1.0303 | 1.0314 | 1.0321 | 1.0332 |
Camarilla | 1.0302 | 1.0305 | 1.0307 | 1.0303 | 1.0313 | 1.0315 | 1.0318 |
Woodie's | 1.0267 | 1.0276 | 1.0296 | 1.0305 | 1.0325 | 1.0334 | 1.0354 |
DeMark's | - | - | 1.0298 | 1.0306 | 1.0327 | - | - |
ที่มา: Investing 1, Investing 2
อัพเกรดความรู้เพิ่มเติม: คลิ