บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568

Create at 1 month ago (Feb 11, 2025 09:21)

ตลาดหุ้นปรับขึ้น นักลงทุนจับตาเงินเฟ้อ นโยบายเฟด และสงครามการค้า

ฟิวเจอร์สดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยในวันจันทร์ บ่งชี้ถึงการเริ่มต้นสัปดาห์ในเชิงบวก ท่ามกลางพัฒนาการทางเศรษฐกิจที่สำคัญ นักลงทุนจับตาความคืบหน้าเกี่ยวกับนโยบายการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ข้อมูลเงินเฟ้อที่สำคัญ และถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) นายเจอโรม พาวเวลล์ โดยจุดสนใจหลักอยู่ที่รายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในวันพุธ ซึ่งคาดว่าจะสะท้อนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่เพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนมกราคม จากระดับ 0.2% ในเดือนธันวาคม โดยถ้อยแถลงของพาวเวลล์จะถูกวิเคราะห์อย่างใกล้ชิดเพื่อหาสัญญาณเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินของ Fed โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจและความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ นอกจากนี้ ข้อมูลผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและยอดค้าปลีกจะช่วยให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค

ทั้งนี้ ตลาดการเงินเตรียมรับมือกับความตึงเครียดทางการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากทรัมป์เดินหน้าบังคับใช้ภาษีนำเข้าใหม่ โดยตั้งแต่วันจันทร์ สหรัฐฯ ได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมในอัตรา 25% ขณะที่จีนตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีมูลค่า 14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ โดยมาตรการภาษีใหม่นี้เป็นการเพิ่มเติมจากภาษีที่คงอยู่มาตั้งแต่สมัยดำรงตำแหน่งครั้งแรกของทรัมป์ และคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อประเทศผู้ส่งออกหลักไปยังสหรัฐฯ เช่น แคนาดา บราซิล และเม็กซิโก แม้ว่าทรัมป์จะเคยชะลอการเก็บภาษีที่คล้ายกันกับแคนาดาและเม็กซิโกจากเหตุผลด้านความมั่นคง แต่บรรดานักวิเคราะห์เตือนว่าความปั่นป่วนทางการค้าเพิ่มเติมอาจกระตุ้นให้เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น และทำให้แนวทางนโยบายของ Fed ซับซ้อนยิ่งขึ้น

แม้จะมีความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า แต่ดัชนี S&P 500 ฟื้นตัวขึ้นในวันจันทร์ นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยหุ้น Nvidia (NASDAQ:NVDA) พุ่งขึ้น 3% หลังจาก Evercore ISI ประเมินว่าการปรับฐานล่าสุดเป็นโอกาสเข้าซื้อ พร้อมลดความกังวลเกี่ยวกับการแข่งขันจากคู่แข่ง AI อย่าง DeepSeek ด้าน Broadcom (NASDAQ:AVGO) ปรับตัวขึ้น 4.5% และ Amazon (NASDAQ:AMZN) เพิ่มขึ้น 1.7% อย่างไรก็ตาม หุ้น Tesla (NASDAQ:TSLA) ร่วงลง 3% หลังมีรายงานว่า อีลอน มัสก์ ซีอีโอของบริษัท กำลังนำกลุ่มนักลงทุนเข้าซื้อกิจการ OpenAI ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่ควบคุม OpenAI ในมูลค่า 97.4 พันล้านดอลลาร์

ด้านหุ้นกลุ่มเหล็กและอะลูมิเนียมพุ่งขึ้นหลังจากทรัมป์ประกาศมาตรการภาษี โดยหุ้น Nucor (NYSE:NUE), U.S. Steel และ Steel Dynamics (NASDAQ:STLD) ต่างปรับตัวขึ้นกว่า 4% ขณะที่ Cleveland-Cliffs (NYSE:CLF) พุ่งขึ้น 18% Century Aluminum (NASDAQ:CENX) เพิ่มขึ้น 10% และ Alcoa (NYSE:AA) ขยับขึ้นราว 2% นอกจากนี้ หุ้น U.S. Steel (NYSE:X) ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเพิ่มขึ้น หลังมีรายงานว่า Nippon Steel ของญี่ปุ่นกำลังพิจารณาปรับกลยุทธ์การเข้าซื้อกิจการของบริษัท

ด้านหุ้นกลุ่มพลังงานได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ถึงความเป็นไปได้ของการหยุดชะงักด้านอุปทานอันเนื่องมาจากความตึงเครียดทางการค้า หุ้น BP (NYSE:BP) พุ่งขึ้นกว่า 6% หลังมีรายงานว่า Elliott Investment Management ได้เข้าถือหุ้นและเรียกร้องให้มีการปฏิรูปเชิงนโยบายที่เป็นมิตรกับผู้ถือหุ้น โดยนักลงทุนเชิงรุกชี้ว่า มูลค่าหุ้นของ BP ยังคงต่ำกว่าคู่แข่งอย่าง Shell และเรียกร้องให้มีการปรับกลยุทธ์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้น

อย่างไรก็ดี ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาด โดยผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ออกมาดีกว่าคาดการณ์ กำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 เติบโต 12% เมื่อเทียบกับปีก่อน สูงกว่าคาดการณ์เดิมที่ 8% อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs เตือนว่าสงครามภาษีที่ดำเนินอยู่ อาจส่งผลกดดันต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนในปี 2025 โดยความไม่แน่นอนของนโยบายอาจฉุดมูลค่าหุ้นลง Goldman Sachs ประเมินว่าการเพิ่มภาษีขึ้นอีก 5% อาจลดกำไรต่อหุ้น (EPS) ของ S&P 500 ลง 1-2% และอาจส่งผลให้ราคาสินค้าสูงขึ้น

ในขณะเดียวกัน หุ้น McDonald's พุ่งขึ้น 4.8% หลังจากรายงานยอดขายสาขาเดิมทั่วโลกที่เติบโตเกินคาด ซึ่งได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งในตะวันออกกลางและญี่ปุ่น หุ้น Rockwell Automation (NYSE:ROK) พุ่งขึ้น 12.6% หลังจากผลประกอบการไตรมาสแรกของปีงบประมาณออกมาดีกว่าคาด ส่วนหุ้น Lyft (NASDAQ:LYFT) ดีดตัวขึ้นกว่า 6% หลังจากประกาศแผนเปิดตัวรถแท็กซี่ไร้คนขับที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีของ Mobileye (NASDAQ:MBLY) ในเมืองดัลลัสภายในปี 2026 ส่งผลให้หุ้น Mobileye พุ่งขึ้น 12%

ทั้งนี้ บริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งเตรียมรายงานผลประกอบการในสัปดาห์นี้ รวมถึง McDonald's (NYSE:MCD), Coca-Cola (NYSE:KO) และ Cisco Systems (NASDAQ:CSCO) ขณะที่พัฒนาการด้าน AI ยังคงเป็นประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะหลังจากการเปิดตัวโมเดล AI ราคาประหยัดของ DeepSeek จากจีน ทั้งนี้ รายงานผลประกอบการของ Nvidia ที่กำลังจะมาถึง คาดว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนราคาหุ้นในกลุ่ม AI

ด้าน Goldman Sachs ยังคงมีมุมมองเชิงบวก โดยคาดว่าดัชนี S&P 500 จะปรับตัวขึ้น 7% แตะระดับ 6,500 จุดภายในสิ้นปี ทั้งนี้ ธนาคารระบุว่าการเติบโตของกำไรเริ่มกระจายตัวมากขึ้น จากเดิมที่กระจุกตัวอยู่ในกลุ่ม "Magnificent 7" ไปสู่หุ้นในดัชนีที่กว้างขึ้น ขณะเดียวกัน Evercore ISI คาดการณ์ว่า S&P 500 อาจแตะ 6,800 จุดภายในสิ้นปี 2025 แต่เตือนว่าตลาดอาจเผชิญความผันผวนจากความขัดแย้งทางการค้า และแนะนำกลยุทธ์การลงทุนเชิงรับ โดยเน้นหุ้นที่มีโครงการซื้อคืนหุ้นแข็งแกร่งและมีความผันผวนต่ำ พร้อมชี้โอกาสลงทุนในบริษัทที่เน้น AI

รายงานดัชนี CPI ในสัปดาห์นี้ คาดว่าจะสะท้อนการชะลอตัวของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับอัตรารายปีของเดือนธันวาคม อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอาจยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งอาจจำกัดความสามารถของ Fed ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงสูงกว่าระดับเป้าหมาย 2% ของธนาคารกลาง การแถลงของพาวเวลล์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการกำหนดแนวโน้มของนโยบายการเงินในอนาคต ด้วยมาตรการภาษีใหม่ที่เริ่มมีผลบังคับใช้ และข้อมูลเศรษฐกิจที่ถูกจับตาอย่างใกล้ชิด นักลงทุนควรเตรียมรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่วันข้างหน้า

ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (1D) CFD US 500 [S&P 500]

แนวต้านสำคัญ : 6069.2, 6078.2, 6092.6

แนวรับสำคัญ : 6040.4, 6031.4, 6017.0              

1D Outlook 

วิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มา: TradingView                                       

Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 5990.4 - 6040.4 แต่ไม่สามารถเบรกแนวรับที่ 6040.4 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 6073.8 และ SL ที่ประมาณ 5965.4 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Buy/Long 2 หากสามารถเบรกแนวต้านที่ช่วงราคา 6069.2 - 6119.2 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 6125.0 และ SL ที่ประมาณ 6015.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้                 

Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 6069.2 - 6119.2 แต่ไม่สามารถเบรกแนวต้านที่ 6069.2 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 6036.0 และ SL ที่ประมาณ 6144.2 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Sell/Short 2 หากสามารถเบรกแนวรับที่ช่วงราคา 5990.4 - 6040.4 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 5986.0 และ SL ที่ประมาณ 6094.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Pivot Points Feb 11, 2025 09:03AM GMT+7

Name
S3
S2
S1
Pivot Points
R1
R2
R3
Classic 5998.2 6017 6036 6054.8 6073.8 6092.6 6111.6
Fibonacci 6017 6031.4 6040.4 6054.8 6069.2 6078.2 6092.6
Camarilla 6044.6 6048.1 6051.5 6054.8 6058.5 6061.9 6065.4
Woodie's 5998.2 6017 6036 6054.8 6073.8 6092.6 6111.6
DeMark's - - 6045.4 6059.5 6083.2 - -

ที่มา: Investing 1Investing 2

______________________________
อัพเกรดความรู้เพิ่มเติม: คลิกที่นี่
รู้เท่าทันสถานการณ์โลกและบทวิเคราะห์เทคนิคขั้นสูง: คลิกที่นี่
Tags:

TECHNICAL ANALYSIS

ARTICLES