GDP ของแคนาดากลับมาขยายตัวขึ้นเล็กน้อย

ดอลลาร์แคนาดาอ่อนค่าลงเล็กน้อย เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากที่มีการประกาศข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่ร้อนแรงมากกว่าที่คาด โดยเพิ่มสูงขึ้นถึง 3%  จากที่คาดการณ์ไว้ที่ 2.9% โดยการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อนี้ได้ตอกย้ำจุดยืนของธนาคารกลางสหรัฐ ต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยว่าอาจจะคงอัตราดอกเบี้ยต่อไปเพื่อกดดันอัตราเงินเฟ้อให้กลับมาลดลงอีกครั้ง ซึ่งสอดคล้องกับคำกล่าวของประธานพาวเวลล์ ด้านข้อมูลเศรษฐกิจของแคนาดา ตลาดแรงงานที่มีความยืดหยุ่น ได้ช่วยให้ธนาคารกลางแคนาดาได้เห็นถึงการชะลอตัวลงของตลาดแรงงาน อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังมีความกังวลเกี่ยวกับ ภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมเพิ่มมากขึ้นถึง 25% ของประธานาธิบดีทรัมป์ ส่งผลให้เพิ่มความเสี่ยงต่อความตึงเครียดทางการค้ามากยิ่งขึ้น

GDP ของแคนาดาขยายตัว 0.2% จากเดือนก่อนหน้าในเดือนธันวาคม 2024 นับว่าเป็นการขยายตัวอีกครั้งหลังจากหดตัวลงในเดือนก่อนหน้า โดยการเติบโตนี้ได้รับแรงหนุนอย่างแข็งแกร่งจากภาคการค้าปลีก,การผลิต และการก่อสร้าง โดยได้ช่วยชดเชยการหดตัวลงในภาคอสังหาริมทรัพย์และการเช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เมื่อเทียบเป็นรายปี GDP ของแคนาดาจะเติบโตที่ 1.4% ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของธนาคารกลางแคนาดา อย่างไรก็ตาม การเติบโตนี้ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในระยะยาวของแคนาดา ซึ่งอาจทำให้ธนาคารกลางแคนาดามีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยมากขึ้นเพื่อส่งเสริมการเติบโตภายในประเทศ

ดัชนีระยะยาวสำหรับธุรกิจในแคนาดา ซึ่งติดตามแนวโน้มธุรกิจในอีก 12 เดือนข้างหน้า ลดลงมาอยู่ที่ 54.6 ในเดือนมกราคม สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของผู้ผลิตที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยความกังวลหลักยังคงเกิดจากภาษีศุลกากรของสหรัฐ ที่อาจส่งผลให้ความสามารถในการส่งออกของแคนาดาจะรอตัวลง ซึ่งวัดผลได้จากธุรกิจขนาดเล็กที่เน้นการส่งออกมีความเชื่อมั่นลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และ SME ที่นำเข้าสินค้าก็ลดลงเช่นกัน โดยภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดยังคงเป็นภาคค้าปลีกที่เน้นการนำเข้าและส่งออกสินค้าเป็นหลัก

อัตราการว่างงานในแคนาดาลดลงเหลือ 6.6% ในเดือนมกราคม จาก 6.7% ในเดือนก่อนหน้า โดยตัวเลขดังกล่าวได้ช่วยคลายความกังวลเกี่ยวกับตลาดแรงงานที่อาจชะลอตัวลงตามที่ธนาคารกลางแคนาดาคาดการณ์ไว้ โดยรายละเอียดระบุว่าตลาดแรงงานของแคนาดามีความสามารถในการปรับตัวที่ดี โดยจำนวนผู้ว่างงานไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 1,500,000 คน ในขณะเดียวกัน มีการเพิ่มงานสุทธิ 76,000 ตำแหน่งในช่วงเวลาดังกล่าว ทำให้มีการจ้างงานรวม 20,993,000 ตำแหน่ง

โดยการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 76,000 ตำแหน่งนี้ ถือเป็นการเติบโตการของการจ้างงานเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน หลังจากเพิ่มขึ้น  91,000 ตำแหน่งในเดือนก่อนหน้า และเกินความคาดหมายของตลาดที่ 25,000 ตําแหน่ง โดยการเติบโตของการจ้างงานส่วนใหญ่ยังคงได้รับแรงสนับสนุนจากการจ้างงานพนักงานเต็มเวลาที่เพิ่มขึ้น 35,000 ตำแหน่ง ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 ในขณะที่การจ้างงานพาร์ทไทม์เพิ่มขึ้น 41,000 ตำแหน่ง นับว่าเป็นการเพิ่มขึ้นอีกครั้งหลังจากชะลอตัวลงในรอบ 3 เดือน โดยการจ้างงานส่วนใหญ่ยังคงเป็นการจ้างงานในภาคการผลิตที่เพิ่มมากกว่า 33,000 ตำแหน่ง และช่างเทคนิคที่เพิ่มขึ้น 22,000 ตำแหน่ง