GDP ของยูโรโซนขยายตัวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ค่าเงินยูโรยังคงทรงตัว เนื่องจากนักลงทุนกำลังจับตามองนโยบายทางการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยเมื่อวานนี้ ทรัมป์ได้ประกาศการเก็บภาษีศุลกากรในแต่ละประเทศโดยจะมีผลบังคับใช้เร็วที่สุดในเดือนเมษายน ในขณะเดียวกัน นักลงทุนกำลังคาดหวังว่าการเจรจาในครั้งนี้อาจหยุดยั้งสงครามระหว่างยูเครนและรัสเซียได้ และนักลงทุนมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้นหลังจากที่ทรัมป์ให้คำมั่นว่าจะเร่วสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้น หลังจากหารือกับประธานาธิบดีปูตินแห่งรัสเซียและประธานาธิบดีเซเลนสกีแห่งยูเครน นอกจากนี้ เขายังกล่าวอีกว่าเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ, รัสเซีย และยูเครนจะพบกันในการประชุมด้านความมั่นคงที่มิวนิกเพื่อหารือกันต่อไป 

อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างในนโยบายทางการเงินระหว่างธนาคารกลางยุโรปและธนาคารกลางสหรัฐ ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่คอยกดดันให้ค่าเงินยูโรมีแนวโน้มค่าลงอีกในอนาคต นอกจากนี้อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐ ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐอาจชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อไปเพื่อกดดันเงินเฟ้อให้กลับมาลดลง ในขณะที่ธนาคารกลางยุโรปคาดว่าจะยังคงปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อไปเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในกลุ่มประเทศให้กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง

เศรษฐกิจของยูโรโซนเติบโต 0.1% ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2024 แม้ว่าจะมีการเติบโตขึ้นแต่ก็เป็นการเติบโตที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น และเป็นการเติบโตรายไตรมาสที่อ่อนแอที่สุดของปี 2024 เนื่องจากประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของยูโรโซน 2 ประเทศ มีการเติบโตที่ชะลอตัวลง โดย GDP ของเยอรมนีหดตัว 0.2% และ GDP ของฝรั่งเศสหดตัว 0.1% แสดงให้เห็นถึงแรงกดดันที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นภาคแรงงานที่ชะลอตัวลงและภาคการผลิตที่ยังคงมีแนวโน้มอ่อนแอต่อไป

จำนวนผู้มีงานทำในเขตยูโรเพิ่มขึ้น 0.1% จากไตรมาสก่อนหน้าเป็น 171.17 ล้านคนในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2024 นับเป็นการขยายตัวของการจ้างงานเดือนที่ 15 ติดต่อกัน โดยตามการคาดการณ์ของธนาคารกลางยุโรปให้ความคิดเห็นว่าตลาดแรงงานของกลุ่มประเทศส่วนใหญ่ยังคงตึงตัว แม้ว่าจะชะลอตัวลงในบางประเทศก็ตาม โดยในสเปนพบว่ามีการจ้างงานเพิ่มสูงขึ้นถึง 0.9% ในขณะที่เนเธอร์แลนด์เพิ่มสูงขึ้น 0.3% อย่างไรก็ตาม เยอรมันนีมีการจ้างงานที่หยุดชะงักเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่กำลังเกิดขึ้นภายในประเทศ

ยอดการค้าปลีกในเขตยูโรลดลง 0.2% เมื่อเทียบเป็นรายเดือนในเดือนธันวาคม 2024 หลังจากคงที่ในเดือนพฤศจิกายน โดยยอดขายที่ลดลงส่วนใหญ่ยังคงเกิดจากยอดขายอาหารและเครื่องดื่มที่ลดลงกว่า 0.7% หลังจากที่ลดลง 0.1% ในเดือนก่อนหน้า ในขณะเดียวกัน ยอดขายผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่อาหารฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยที่ 0.3% ดูในเยอรมนีพบว่ามีการหดตัวลงอย่างรวดเร็วของยอดค้าปลีก โดยลดลงถึง 1.6% แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่กำลังลดลงต่อเนื่อง ซึ่งรวมไปถึงภาวะเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวลง ในขณะที่ประเทศอื่นๆมีการเติบโตเล็กน้อยที่ประมาณ 0.3% เท่านั้น