เศรษฐกิจอังกฤษโตเกินคาด เลี่ยงถดถอย แต่ความท้าทายยังรุมเร้า
เศรษฐกิจสหราชอาณาจักรขยายตัวอย่างไม่คาดคิดที่ 0.1% ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วงต้นปี 2025 ได้อย่างหวุดหวิด การขยายตัวในระดับปานกลางเกิดขึ้นหลังจากภาวะชะงักงันในไตรมาสก่อนหน้า ส่งผลให้อัตราการเติบโตทั้งปีเพิ่มขึ้นเป็น 1.4% จากตัวเลขที่ปรับปรุงใหม่ที่ 1.0% ในช่วงเวลาก่อนหน้า การเติบโตของ GDP ในเดือนธันวาคมที่ 0.4% ซึ่งสูงกว่าการเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนพฤศจิกายน มีส่วนสำคัญต่อการขยายตัวครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์ยังคงระมัดระวังต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ โดยนักเศรษฐศาสตร์ของ Deutsche Bank ให้ความเห็นว่าแม้เศรษฐกิจสหราชอาณาจักรจะปิดปีด้วยผลงานที่แข็งแกร่ง แต่เตือนถึงความเปราะบางทางเศรษฐกิจที่ยังคงอยู่ เช่น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มสูงขึ้น ต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น และความเสี่ยงจากสงครามการค้าที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนี้ ข้อมูลสำรวจยังบ่งชี้ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปี 2025 มีแนวโน้มเป็นไปได้ช้า
ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ตอบสนองต่อสถานการณ์ดังกล่าวด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 25 จุดพื้นฐาน สู่ระดับ 4.5% ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มการผ่อนคลายต้นทุนการกู้ยืม หลังจากที่อัตราดอกเบี้ยพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 16 ปี นอกจากนี้ ธนาคารกลางยังปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2025 ลงจาก 1.5% เหลือเพียง 0.75% ซึ่งเป็นสัญญาณว่าอาจมีการลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในอนาคต ขณะที่ก่อนหน้านี้ มีความกังวลว่าเศรษฐกิจอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย หากเกิดการหดตัวในช่วงต้นปี 2025 ต่อเนื่องจากภาวะอ่อนแอในช่วงปลายปี 2024 นักวิเคราะห์จาก Capital Economics ยังคงมีมุมมองเชิงลบ โดยระบุว่าปัจจัยหลักที่เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ได้แก่ ความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่อ่อนแอ อัตราการจ้างงานที่ลดลง และกิจกรรมภาคเอกชนที่ซบเซา
แม้ว่าในไตรมาสที่ 4 สหราชอาณาจักรจะมีอัตราการเติบโตที่ดีกว่าเศรษฐกิจหลักของยุโรป เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส และอิตาลี แต่ยังคงตามหลังสหรัฐฯ ซึ่งมีการขยายตัว 0.6% โดยการเติบโตในเดือนธันวาคมได้รับแรงหนุนจากภาคบริการที่แข็งแกร่ง รวมถึงธุรกิจค้าส่ง ผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการ อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายของภาครัฐและการสะสมสินค้าคงคลังเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยหนุนเศรษฐกิจ ขณะที่การลงทุนทางธุรกิจลดลงถึง 3.2% และการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนยังคงซบเซา ท่ามกลางการลดลงอย่างมากของการลงทุนทางธุรกิจทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการขึ้นภาษี 25,000 ล้านปอนด์ ซึ่งรัฐบาลแรงงานประกาศใช้ในงบประมาณเดือนตุลาคม
อย่างไรก็ดี แรงส่งทางเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรเริ่มอ่อนแอลง โดยธุรกิจต่าง ๆ ปรับลดการจ้างงานและการลงทุนเพื่อลดผลกระทบจากการขึ้นภาษีและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ผลสำรวจจากสมาพันธ์การจ้างงานและการสรรหาพบว่าตำแหน่งงานว่างลดลงอย่างรวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่ปี 2020 นอกจากนี้ อัตราการเติบโตของค่าจ้างที่ชะลอตัวอาจช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อของ BoE ขณะที่ตลาดแรงงานโดยรวมยังคงอ่อนแอ ท่ามกลางความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดเล็กที่ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบห้าปี โดยการขึ้นภาษีส่งผลให้ธุรกิจหลายแห่งต้องขึ้นราคาสินค้าหรือปรับลดจำนวนพนักงาน และยิ่งเพิ่มแรงกดดันทางเศรษฐกิจ
ด้านประสิทธิภาพการผลิตในภาครัฐยังคงซบเซา โดยเฉพาะในภาคสาธารณสุขซึ่งยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนเกิดโรคระบาดได้ แม้ว่าจะได้รับงบประมาณเพิ่มเติม โดยตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา ผลผลิตของภาครัฐโดยรวมลดลงถึง 8% ส่งผลให้การเงินภาครัฐเผชิญแรงกดดันมากขึ้น และทำให้มาตรฐานการครองชีพของประชาชนซบเซา ในขณะเดียวกัน ตลาดที่อยู่อาศัยของสหราชอาณาจักรชะลอตัวลงก่อนการขึ้นภาษีที่กำลังจะเกิดขึ้น ส่งผลให้ราคาอสังหาริมทรัพย์เติบโตลดลง แม้ว่าความต้องการซื้อบ้านเพิ่มขึ้น แต่ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยและนโยบายภาษียังคงเป็นปัจจัยกดดันต่อภาคอสังหาริมทรัพย์
ในปี 2025 สหราชอาณาจักรต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจหลายประการ เช่น อุปสงค์ทั่วโลกที่อ่อนแอ ราคาพลังงานที่สูงขึ้น และความเป็นไปได้ของมาตรการกีดกันทางการค้าใหม่ ๆ แม้ว่ารัฐบาลจะผลักดันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและการปฏิรูปกฎระเบียบเพื่อกระตุ้นการเติบโต แต่นักวิเคราะห์หลายรายยังคงสงสัยในประสิทธิผลของมาตรการดังกล่าว ด้วยต้นทุนการกู้ยืมที่ยังคงอยู่ในระดับสูงและแรงกดดันทางการคลังที่เพิ่มขึ้น รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ราเชล รีฟส์ อาจต้องพิจารณามาตรการลดค่าใช้จ่ายของภาครัฐเพื่อให้สามารถดำเนินนโยบายการเงินอยู่ในกรอบเป้าหมายได้
ในด้านการค้า สหรัฐฯ มีมุมมองต่อความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหราชอาณาจักรที่แตกต่างจากประเทศอื่น ๆ เนื่องจากไม่ได้มีปัญหาขาดดุลการค้ากับสหราชอาณาจักรอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ โดยเฉพาะในเรื่องภาษีศุลกากร โดยสหราชอาณาจักรหวังว่าจะได้รับการยกเว้นภาษีสำหรับผลิตภัณฑ์เหล็กและอะลูมิเนียม โดยให้เหตุผลว่าสินค้าเหล่านี้มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมกลาโหมและห่วงโซ่อุปทานการผลิตของสหรัฐฯ ขณะที่ล่าสุด ทรัมป์ประกาศเก็บภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมที่นำเข้าทั้งหมดในอัตรา 25% แต่ได้ส่งสัญญาณว่าอาจมีข้อตกลงพิเศษกับอังกฤษ
ในตลาดการเงิน ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบสองเดือน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความล่าช้าในการดำเนินนโยบายภาษีของทรัมป์ แม้ว่ากลยุทธ์ทางการค้าโดยรวมจะยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่การดำเนินนโยบายที่ล่าช้าทำให้ตลาดผ่อนคลายความตึงเครียดลงชั่วคราว ในขณะเดียวกัน สถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ดึงดูดความสนใจของนักลงทุนอีกครั้ง
ในสหรัฐฯ ยอดค้าปลีกในเดือนมกราคมลดลงมากที่สุดในรอบเกือบสองปี ซึ่งอาจเป็นผลมาจากสภาพอากาศที่รุนแรง ไฟป่า และปัญหาขาดแคลนรถยนต์ อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าการลดลงนี้อาจไม่ใช่สัญญาณของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค เนื่องจากเกิดขึ้นหลังจากการใช้จ่ายที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่งติดต่อกันสี่เดือน โดยนักเศรษฐศาสตร์บางรายเชื่อว่าความไม่แน่นอนของผู้บริโภค ซึ่งได้รับอิทธิพลจากความกังวลเกี่ยวกับภาษีและเงินเฟ้อ อาจมีส่วนทำให้ยอดขายลดลง ขณะที่ก่อนหน้านี้ ผู้บริโภคมีแนวโน้มเร่งซื้อสินค้าก่อนที่ราคาจะปรับขึ้นจากมาตรการภาษี ท่ามกลางความเชื่อมั่นปัจจุบันที่เริ่มอ่อนตัวลง
ข้อมูลเศรษฐกิจเพิ่มเติมยังระบุว่า สต็อกสินค้าธุรกิจในสหรัฐฯ ลดลงในเดือนธันวาคมเป็นครั้งแรกในรอบเก้าเดือน เนื่องจากอุปสงค์ของผู้บริโภคที่แข็งแกร่งทำให้ระดับสินค้าคงคลังของภาคค้าปลีกและค้าส่งลดลง อย่างไรก็ตาม ยอดขายภาคธุรกิจยังคงเพิ่มขึ้น ซึ่งบ่งชี้ถึงอุปสงค์ที่มั่นคง แต่เนื่องจากภาคธุรกิจถือครองสินค้าคงคลังในระดับต่ำ ความผันผวนของอุปสงค์หรือปัญหาห่วงโซ่อุปทานในอนาคตอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจได้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ด้วยเหตุนี้ การปรับลดคาดการณ์การเติบโตของสหราชอาณาจักรในปี 2025 อาจบ่งชี้ถึงนโยบายผ่อนคลายเพิ่มเติม ซึ่งจำกัดการแข็งค่าของ GBP/USD ขณะเดียวกัน ความอ่อนแอของดอลลาร์สหรัฐฯ จากความล่าช้าในการบังคับใช้ภาษีและยอดค้าปลีกที่ซบเซายังคงช่วยพยุงคู่สกุลเงินไว้ได้ อย่างไรก็ตาม แรงกดดันทางเศรษฐกิจเพิ่มเติมในสหราชอาณาจักรหรือความตึงเครียดทางการค้าอาจกดดัน GBP/USD ขณะที่บรรยากาศการลงทุนที่ดีขึ้นหรือข้อมูลเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรที่แข็งแกร่งอาจช่วยหนุนค่าเงินในระยะสั้นได้
ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (1H) CFD GBP/USD
แนวต้านสำคัญ : 1.2601, 1.2606, 1.2614
แนวรับสำคัญ : 1.2585, 1.2580, 1.2572
1H Outlook
ที่มา: TradingView
Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 1.2570 - 1.2585 แต่ไม่สามารถเบรกแนวรับที่ 1.2585 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.2606 และ SL ที่ประมาณ 1.2563 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Buy/Long 2 หากสามารถเบรกแนวต้านที่ช่วงราคา 1.2601 - 1.2616 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.2629 และ SL ที่ประมาณ 1.2578 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 1.2601 - 1.2616 แต่ไม่สามารถเบรกแนวต้าน 1.2601 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.2585 และ SL ที่ประมาณ 1.2623 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Sell/Short 2 หากสามารถเบรกแนวรับที่ช่วงราคา 1.2570 - 1.2585 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.2556 และ SL ที่ประมาณ 1.2608 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Pivot Points Feb 17, 2025 09:35AM GMT+7
Name
|
S3
|
S2
|
S1
|
Pivot Points
|
R1
|
R2
|
R3
|
---|---|---|---|---|---|---|---|
Classic | 1.2564 | 1.2572 | 1.2585 | 1.2593 | 1.2606 | 1.2614 | 1.2627 |
Fibonacci | 1.2572 | 1.258 | 1.2585 | 1.2593 | 1.2601 | 1.2606 | 1.2614 |
Camarilla | 1.2593 | 1.2595 | 1.2597 | 1.2593 | 1.2601 | 1.2603 | 1.2605 |
Woodie's | 1.2568 | 1.2574 | 1.2589 | 1.2595 | 1.261 | 1.2616 | 1.2631 |
DeMark's | - | - | 1.2589 | 1.2595 | 1.261 | - | - |
ที่มา: Investing 1, Investing 2
อัพเกรดความรู้เพิ่มเติม: คลิ