อัตราเงินเฟ้อของอินเดียลดลงเล็กน้อย 

เงินรูปีอินเดียแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย และฟื้นตัวขึ้นหลังจากที่ RBI ต้องเข้าแทรกแซงในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม แรงกดดันจากภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ สำหรับแร่โลหะ ส่งผลให้เกิดแรงกดดันด้านการส่งออกและทำให้เกิดการเทขายเงินรูปี ส่งผลให้ RBI ต้องนำเงินสำรองเงินตราต่างประเทศออกมาเพื่อปกป้องสกุลเงินรูปี โดยการนำเงินสำรองออกมาใช้ส่งผลกระทบให้สภาพคล่องที่ตึงตัวอยู่แล้ว ได้สร้างแรงกดดันให้เหล่าธนาคารจากผู้ให้กู้รายสำคัญหมดลง นอกจากนี้ยังมีความกังวลที่เพิ่มขึ้นจากการเติบโตที่ชะลอตัว อีกทั้งยังผลักดันให้ RBI ลดอัตราดอกเบี้ยลง 25 bps ซึ่งเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงครั้งแรกในรอบเกือบ 5 ปี ทำให้เหล่านักลงทุนยกเลิกการลงทุนในตลาดอินเดียและหันไปซื้อสินทรัพย์ของเอเชียที่ยังสามารถแข่งขันได้

อัตราเงินเฟ้อในอินเดียลดลงเหลือ 4.31% เมื่อเทียบเป็นรายปีในเดือนมกราคม ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตของอัตราเงินเฟ้อที่อ่อนที่สุดตั้งแต่ปีที่ผ่านมา โดยการลดลงของอัตราเงินเฟ้อได้เข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้นที่ 4% ของธนาคารกลางอินเดีย หลังจากที่อัตราเงินเฟ้อสูงกว่าเกณฑ์ 5% ติดต่อกัน 4 เดือน โดยการลดลงนี้ส่วนใหญ่เกิดจากราคาอาหารที่ชะลอตัวลงเหลือ 6.02% จาก 8.4% ในเดือนธันวาคม ซึ่งคิดเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของอัตราเงินเฟ้อทั้งหมด เนื่องมาจากอัตราเงินเฟ้อในผักและผลไม้ลดลงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อสำหรับเชื้อเพลิงและพลังงานยังคงอยูาในภาวะเงินฝืด

ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของธนาคารกลางอินเดียมีมูลค่ากว่า 630 พันล้านดอลลาร์ในสิ้นเดือนมกราคม ถือเป็นการหยุดการลดลงของทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ หลังจากแตะจุดต่ำสุดในรอบ 10 เดือน ที่ 624 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับแรงหนุนจากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง รายการรถทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศเพื่อสนับสนุนค่าเงินรูปี ตามนโยบายของธนาคารกลางว่าจะป้องกันสกุลเงินในประเทศที่อ่อนค่าลง

ธนาคารกลางอินเดียได้ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 25 bps เหลือ 6.25% ในการประชุมเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งถือเป็นการปรับลดครั้งแรกตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2020 และกับการคาดการณ์ของตลาด โดยมีเป้าหมายเพื่อรับมือกับการเติบโตทางเศรษฐกิจภายในประเทศที่ชะลอตัวลง ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการค้าโลกที่เพิ่มขึ้น 

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจ ธนาคารกลางคาดการณ์ว่า GDP ในปีงบประมาณ 2025-2026 จะเติบโต 6.7% ในขณะที่ อัตราเงินเฟ้อจะยังคงทรงตัวอยู่ที่ 4.2% โดยที่มีการคาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 4.5% ในไตรมาสที่ 1, 4.0% ในไตรมาสที่ 2 และ 3.8% สำหรับไตรมาสที่ 3 สำหรับปี 2025 ในขณะเดียวกัน ธนาคารกลางอินเดียยังลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ (SDF) ลง 25 bps เหลือ 6% และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำขั้นต่ำ (MSF) และอัตราดอกเบี้ยธนาคารลงเหลือ 6.50% ในขณะเดียวกัน RBI ยังคงรักษาอัตรา CRR ไว้ที่ 4% หลังจากลดลง 50 bps ในเดือนธันวาคม

ดัชนี PMI ภาคบริการของ HSBC India ถูกปรับลดลงเหลือ 56.5 ในเดือนมกราคม 2025 จาก 56.8 ในการประมาณการเบื้องต้น และลดลงจากค่าสูงสุดในรอบ 4 เดือนในเดือนธันวาคมที่ 59.3 อย่างไรก็ตาม ตัวเลขล่าสุดถือเป็นการเติบโตของกิจกรรมภาคบริการติดต่อกันเป็นเดือนที่ 42 และเป็นอัตราที่อ่อนตัวที่สุดตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2022 ซึ่งต่ำกว่าการคาดการณ์ของตลาดที่ 57.6 เนื่องจากธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นน้อยที่สุดตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2023 คำสั่งซื้อใหม่เพิ่มขึ้น โดยยอดขายต่างประเทศเพิ่มขึ้นเร็วขึ้น โดยส่วนใหญ่มาจากเอเชีย ยุโรป

ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (5H)

แนวต้านสำคัญ: 86.988, 87.058, 87.101

แนวรับสำคัญ: 86.875, 86.832, 86.762

ที่มา: Investing.com

Buy/Long 1: หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 86.832 - 86.875 แต่ไม่สามารถเบรกแนวรับที่ 86.875 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 87.058 และ SL ที่ประมาณ 86.762 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

จุดกลับตัว 18 กุมภาพันธ์ 2568 19:55 น. GMT+7