ยูโรแข็งค่าหลังความเชื่อมั่นนักลงทุนเยอรมนีพุ่ง แต่ความเสี่ยงเศรษฐกิจยังคงอยู่
ยูโรเพิ่มขึ้น 0.8% ในช่วงข้ามคืนและทรงตัวในการซื้อขายเอเชียที่ 1.0498 ดอลลาร์ ขณะที่นักลงทุนจับตาการเลือกตั้งเยอรมนีที่กำลังจะมาถึง ซึ่งคาดว่ากลุ่มพันธมิตรสายอนุรักษ์นิยมจะได้รับชัยชนะ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนในเยอรมนีปรับตัวขึ้นแรงที่สุดในรอบสองปีในเดือนกุมภาพันธ์นี้ โดยได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นภายใต้รัฐบาลใหม่
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจ ZEW รายงานว่าดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 10.3 จุดในเดือนมกราคมเป็น 26.0 จุด สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 20.0 จุด โดยแม้บรรยากาศจะเป็นบวก แต่ภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันยังคงอ่อนแอ โดย Achim Wambach ประธาน ZEW ระบุว่าการเพิ่มขึ้นดังกล่าวเกิดจากความหวังในรัฐบาลที่มีบทบาทเชิงรุกและการเติบโตของการบริโภคภาคเอกชนที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในช่วงหกเดือนข้างหน้า อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์ยังคงระมัดระวัง เนื่องจากสองสถาบันวิจัยหลักคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะยังคงหดตัวต่อเนื่องไปถึงปี 2025 ซึ่งถือเป็นการหดตัวสามปีติดต่อกันเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ทั้งนี้ แม้เศรษฐกิจยูโรโซนจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้นเล็กน้อย แต่ยังคงอ่อนแอ Eurostat ปรับประมาณการการเติบโตของ GDP ไตรมาสที่สี่ของปี 2024 ขึ้นเป็น 0.1% ซึ่งสูงกว่าประมาณการก่อนหน้าที่คาดการณ์ว่าจะทรงตัว ท่ามกลางการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นเพียง 0.1% โดยแนวโน้มเศรษฐกิจโดยรวมยังคงเปราะบาง ซึ่งคาดว่าอัตราการเติบโตในปี 2025 จะอยู่ที่เพียงกว่า 1%
ปัจจัยที่ยังคงเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัว ได้แก่ การบริโภคภาคครัวเรือนที่ซบเซา ตลาดแรงงานที่อ่อนแอลง และภาวะถดถอยในภาคอุตสาหกรรม โดยภาคอุตสาหกรรมยังคงเป็นจุดอ่อนหลัก ซึ่งผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนธันวาคมลดลง 1.1% แย่กว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ -0.6% ขณะที่เยอรมนีและอิตาลีประสบภาวะหดตัวอย่างหนัก โดยผลผลิตอุตสาหกรรมลดลง 2.9% และ 3.1% ตามลำดับ โดยต้นทุนพลังงานที่สูง อุปสงค์จากจีนที่ลดลง และการแข่งขันระดับโลกที่รุนแรงขึ้น ยังคงกดดันภาคการผลิตของยุโรป
ขณะเดียวกัน บริษัทข้ามชาติของสหรัฐฯ กำลังใช้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยยูโรที่ต่ำเพื่อปรับลดต้นทุนการกู้ยืมผ่านกลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยง ผู้เชี่ยวชาญทางการเงินคาดว่ากระแสนี้อาจขยายตัวหากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) คงอัตราดอกเบี้ยไว้ในขณะที่ธนาคารกลางอื่นๆ เดินหน้าผ่อนคลายนโยบายการเงิน
ความต้องการแลกเปลี่ยนเงินกู้ข้ามสกุลเงิน (cross-currency swaps) ซึ่งเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยให้บริษัทสามารถแลกเปลี่ยนเงินต้นและดอกเบี้ยระหว่างสกุลเงินต่างๆ เพิ่มขึ้นตามช่องว่างอัตราดอกเบี้ยที่กว้างขึ้นระหว่างสหรัฐฯ กับเศรษฐกิจหลักอื่นๆ โดย John Wahr หัวหน้าฝ่ายขายตราสารอัตราดอกเบี้ยของ U.S. Bank ระบุว่ากิจกรรมในตลาด swaps ทั้งการทำสัญญาใหม่และการปรับโครงสร้างเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในธุรกรรม USD-to-EUR ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันความเสี่ยงด้านการลงทุนสุทธิ ซึ่งการแลกเปลี่ยนดังกล่าวเข้ามามีส่วนช่วยทั้งการประหยัดต้นทุนและการป้องกันความผันผวนของตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการตอบสนองต่อความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เกิดจากนโยบายการค้าและภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งตามข้อมูลจาก Clarus บริษัทวิจัยด้านการเงิน มูลค่าการทำธุรกรรม swaps ระหว่าง EUR/USD เพิ่มขึ้น 7% ในเดือนมกราคม 2025 สู่ระดับ 266 พันล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ด้านความท้าทายทางเศรษฐกิจของเยอรมนีซับซ้อนขึ้นจากดุลการค้าส่วนเกินกับสหรัฐฯ ที่สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 70 พันล้านยูโรในปี 2024 ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ อาจกำหนดภาษีศุลกากรใหม่ภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เพิ่มภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม โดยหากมีการกำหนดภาษีศุลกากรใหม่สำหรับสินค้าจากเยอรมนี ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจอาจได้รับผลกระทบอย่างมาก ท่ามกลางการส่งออกของเยอรมนี โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์และเวชภัณฑ์ ที่เพิ่มขึ้น 2.2% ในปีที่ผ่านมา ขณะที่การนำเข้าจากสหรัฐฯ ลดลง 3.4%
ในขณะเดียวกัน ดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักในวันพฤหัสบดี ขณะที่นักลงทุนประเมินแผนภาษีศุลกากรล่าสุดของทรัมป์อีกครั้ง โดยดอลลาร์อ่อนค่าลงเพิ่มเติมหลังจาก Walmart คาดการณ์ยอดขายที่น่าผิดหวัง ซึ่งสร้างความกังวลเกี่ยวกับกำลังซื้อของผู้บริโภคสหรัฐฯ รายงานเศรษฐกิจล่าสุดชี้ให้เห็นว่ายอดค้าปลีกที่ลดลงและความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อ่อนแอลง อาจสะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการค้าของทรัมป์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษีศุลกากร 25% ที่อาจถูกนำมาใช้กับสินค้านำเข้าหลัก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค
ขณะเดียวกัน รายงานการประชุมล่าสุดของธนาคารกลางสหรัฐฯ เปิดเผยว่าผู้กำหนดนโยบายยังคงใช้แนวทางระมัดระวังต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่เชื่อมโยงกับนโยบายการค้าและนโยบายตรวจคนเข้าเมืองของทรัมป์ แม้จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายใหม่จะเพิ่มขึ้นในระดับปานกลาง แต่ตลาดแรงงานโดยรวมยังคงมีเสถียรภาพ โดยได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยจากการปลดพนักงานภาครัฐหรือการตัดลดงบประมาณภายใต้รัฐบาลของทรัมป์ อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าผลกระทบทางอ้อมต่อภาคเอกชนอาจต้องใช้เวลาจึงจะปรากฏให้เห็น
ขณะที่กิจกรรมภาคการผลิตของสหรัฐฯ ส่งสัญญาณชะลอตัวในเดือนกุมภาพันธ์ โดยอัตราการเติบโตของการผลิตโรงงานในภูมิภาคแอตแลนติกตอนกลางลดลงอย่างมาก
ทั้งนี้ การรวมกันของภาวะเงินเฟ้อที่ยืดเยื้อและนโยบายการค้าที่แข็งกร้าวของทรัมป์ ได้จุดประกายความกังวลเกี่ยวกับภาวะ stagflation ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจเติบโตช้าแต่เงินเฟ้อพุ่งสูง โดยการสำรวจล่าสุดของ Bank of America ระบุว่าผู้จัดการกองทุนทั่วโลกต่างคาดการณ์ถึงความเป็นไปได้ที่ภาวะ stagflation จะเพิ่มขึ้น ในขณะที่ทรัมป์ได้ชะลอการใช้ภาษีบางส่วน แต่ยังคงเดินหน้ากับมาตรการอื่นๆ เช่น การเรียกเก็บภาษี 10% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีน และการกำหนดอัตราภาษีใหม่สำหรับเหล็ก อะลูมิเนียม รถยนต์ เซมิคอนดักเตอร์ และเวชภัณฑ์ ผู้เชี่ยวชาญบางคนให้ความเห็นว่าภาษีศุลกากรอาจช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมภายในประเทศในระยะยาว แต่ผลกระทบในระยะสั้นอาจยิ่งเพิ่มแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ
ด้วยเหตุนี้ ค่าเงิน EUR/USD อาจมีแนวโน้มผันผวนอย่างต่อเนื่อง จากความอ่อนแอทางเศรษฐกิจของเขตยูโรกับความเสี่ยงด้านนโยบายของสหรัฐฯ แม้ว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนเยอรมันที่เพิ่มขึ้นจะหนุนค่าเงินยูโร แต่ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่อ่อนแอและการเติบโตที่ซบเซาอาจจำกัดทิศทางขาขึ้น ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์เผชิญแรงกดดันจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลงและความกังวลด้านการค้า แต่อาจทรงตัวได้หาก Fed ยังใช้ท่าทีที่ระมัดระวัง ท่ามกลางความต้องการสวอปสกุลเงินที่เพิ่มขึ้นที่อาจทำให้ค่าเงิน EUR/USD ทรงตัวได้ แต่ยังคงมีความเสี่ยงจากภาษีศุลกากรที่อาจเกิดขึ้นกับสินค้าส่งออกของเยอรมนีจากสหรัฐฯ โดยในอนาคตอันใกล้ คู่สกุลเงินอาจเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ โดยมีความเสี่ยงขาลงหากปัญหาในเขตยูโรยังคงดำเนินต่อไปและเฟดยังคงใช้นโยบายที่เข้มงวด
ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (1D) CFD EUR/USD
แนวต้านสำคัญ : 1.0507, 1.0527, 1.0560
แนวรับสำคัญ : 1.0441, 1.0421, 1.0388
1D Outlook
ที่มา: TradingView
Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 1.0381 - 1.0441 แต่ไม่สามารถทะลุแนวรับที่ 1.0441 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.0530 และ SL ที่ประมาณ 1.0351 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Buy/Long 2 หากสามารถทะลุแนวต้านที่ช่วงราคา 1.0507 - 1.0567 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.0629 และ SL ที่ประมาณ 1.0411 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 1.0507 - 1.0567 แต่ไม่สามารถทะลุแนวต้านที่ 1.0507 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.0441 และ SL ที่ประมาณ 1.0597 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Sell/Short 2 หากสามารถทะลุแนวรับที่ช่วงราคา 1.0381 - 1.0441 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.0343 และ SL ที่ประมาณ 1.0537 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Pivot Points Feb 21, 2025 10:07AM GMT+7
Name
|
S3
|
S2
|
S1
|
Pivot Points
|
R1
|
R2
|
R3
|
---|---|---|---|---|---|---|---|
Classic | 1.0358 | 1.0388 | 1.0444 | 1.0474 | 1.053 | 1.056 | 1.0616 |
Fibonacci | 1.0388 | 1.0421 | 1.0441 | 1.0474 | 1.0507 | 1.0527 | 1.056 |
Camarilla | 1.0476 | 1.0484 | 1.0492 | 1.0474 | 1.0508 | 1.0516 | 1.0524 |
Woodie's | 1.037 | 1.0394 | 1.0456 | 1.048 | 1.0542 | 1.0566 | 1.0628 |
DeMark's | - | - | 1.0459 | 1.0481 | 1.0545 | - | - |
ที่มา: Investing 1, Investing 2
อัพเกรดความรู้เพิ่มเติม: คลิ