หุ้นร่วงหนัก กังวลเงินเฟ้อ-ชะลอเศรษฐกิจกดดันตลาด
ตลาดหุ้นร่วงลงหนักในวันศุกร์ เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดเพิ่มความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ ดัชนี S&P 500 ลดลง 1.7% ตลอดทั้งสัปดาห์ ขณะที่ดัชนี Dow และ Nasdaq ต่างปรับตัวลดลง 2.5% โดยแรงขายเร่งตัวขึ้นในช่วงปิดตลาด เนื่องจากนักลงทุนลังเลที่จะถือครองสถานะก่อนสุดสัปดาห์ ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับมาตรการนโยบายของรัฐบาลทรัมป์ โดยเฉพาะเกี่ยวกับภาษีศุลกากรชุดใหม่
ตลาดโดยรวมยังคงเผชิญแรงกดดันจากความกังวลทางเศรษฐกิจและพัฒนาการของบริษัทต่างๆ ดัชนี Nasdaq Composite ลดลงมากกว่า 1% นับเป็นวันที่สี่ของเดือนกุมภาพันธ์ที่ลดลงเกิน 1% ดัชนี S&P 500 ปิดตลาดลดลงเล็กน้อยเป็นวันที่สามติดต่อกัน ขณะที่ Dow Jones ขยับขึ้นเล็กน้อย 33.19 จุด (+0.08%) โดยหุ้นกลุ่มป้องกันความเสี่ยง เช่น กลุ่มเฮลธ์แคร์ นำตลาดด้วยการปรับตัวขึ้น 0.75% ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลงมากที่สุดที่ -1.43%
ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 เปิดสัปดาห์ใหม่ด้วยความผันผวน โดยได้รับแรงกดดันจากความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ นโยบายการค้า และความอ่อนแอของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยหุ้น Nvidia (NASDAQ: NVDA) ซึ่งเป็นผู้นำในตลาดเซมิคอนดักเตอร์ AI ร่วงลงกว่า 3% นำการปรับฐานของหุ้นกลุ่มเทคฯ ขณะที่นักลงทุนต่างจับตาผลประกอบการของ Nvidia ที่จะประกาศในวันพุธ ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดความต้องการ AI หลังจากที่บริษัทเผชิญแรงกดดันตั้งแต่เดือนมกราคม จากโมเดล AI ราคาประหยัดจาก DeepSeek ของจีนเข้าสู่ตลาด ขณะที่ Microsoft (NASDAQ: MSFT) ลดลง 1% ในวันจันทร์ และรายงานว่าได้ยกเลิกสัญญาเช่าศูนย์ข้อมูลหลายแห่งในสหรัฐฯ ส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานล้นตลาดในโครงสร้างพื้นฐาน AI
ด้านหุ้นขนาดใหญ่ของ S&P 500 มีผลการดำเนินงานที่หลากหลาย Apple Inc. (NASDAQ: AAPL) สวนกระแสการปรับฐานของกลุ่มเทคโนโลยี โดยปรับตัวขึ้น 0.7% หลังประกาศแผนการลงทุน 500 พันล้านดอลลาร์ เพื่อพัฒนา AI วิศวกรรมเกี่ยวกับชิป และการผลิตขั้นสูงในสหรัฐฯ ขณะที่ Nike (NYSE: NKE) พุ่งขึ้น 4.9% หลังจาก Jefferies ปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ” โดยอ้างถึงแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่ง ส่วน Berkshire Hathaway (NYSE: BRKa) ทำสถิติสูงสุดใหม่ หลังจากรายงานกำไรประจำปีที่แข็งแกร่ง โดยหุ้นเพิ่มขึ้นกว่า 4%
ในข่าวภาคธุรกิจ หุ้น Supermicro (NASDAQ: SMCI) ร่วงเกือบ 8% ก่อนการรายงานผลประกอบการในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการยื่นเอกสารล่าช้าและปัญหาการกำกับดูแลในอดีต อย่างไรก็ตาม หุ้นของ Supermicro ยังคงสูงขึ้น 34% ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา จากแนวโน้มรายได้ที่แข็งแกร่ง โดยคาดการณ์ว่ารายได้ปีงบประมาณ 2026 จะเติบโต 70% ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับแรงหนุนจากการเปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ Blackwell ของ Nvidia ขณะที่ Alibaba (NYSE: BABA) ร่วงลง 10% หลังประกาศแผนการลงทุน 52.4 พันล้านดอลลาร์ในธุรกิจคลาวด์และ AI ซึ่งเป็นการลงทุนด้านเทคโนโลยีครั้งใหญ่ที่สุดของบริษัท
อย่างไรก็ดี รายงานผลประกอบการยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนตลาดในสัปดาห์นี้ โดย Nvidia จะเป็นจุดสนใจหลัก นักวิเคราะห์คาดว่าบริษัทจะรายงานรายได้ไตรมาสที่สูงเป็นประวัติการณ์ที่ 38.32 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 73% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยUBS คงเป้าหมายราคาหุ้นไว้ที่ 185 ดอลลาร์ ซึ่งระบุว่าแนวโน้มการปรับปรุงซัพพลายเชนอาจช่วยเพิ่มยอดขายของ Nvidia ท่ามกลางบริษัทสำคัญอื่นๆ ที่จะรายงานผลประกอบการในสัปดาห์นี้ ได้แก่ The Home Depot (NYSE: HD), Salesforce (NYSE: CRM), Snowflake (NYSE: SNOW), HP (NYSE: HPQ) และ Intuit (NASDAQ: INTU)
ปฏิทินเศรษฐกิจในสัปดาห์นี้จะยังเป็นปัจจัยสำคัญต่อทิศทางตลาด โดยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ Fed ให้ความสำคัญ จะถูกเปิดเผยในวันศุกร์ พร้อมกับประมาณการจีดีพีไตรมาส 4 ครั้งที่สอง ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนประเมินได้ว่าความกดดันด้านเงินเฟ้อกำลังชะลอลงหรือยังคงอยู่ และจะส่งผลต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายของ Fed ท่ามกลางความผันผวนของตลาด ขณะที่นักลงทุนชั่งน้ำหนักระหว่างความเสี่ยงด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจกับความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ เว้นแต่ว่าข้อมูลเศรษฐกิจจะออกมาดีเกินคาดหรือความคาดหวังของเฟดเปลี่ยนแปลงไป ดัชนี S&P 500 จะยังคงแนวโน้มขาลง และความผันผวนที่คาดว่าจะยังคงสูงต่อเนื่อง
ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (1H) CFD US 500 [S&P 500]
แนวต้านสำคัญ : 5998.9, 6001.0, 6004.2
แนวรับสำคัญ : 5992.5, 5990.4, 5987.2
1H Outlook
ที่มา: TradingView
Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 5987.5 - 5992.5 แต่ไม่สามารถเบรกแนวรับที่ 5992.5 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 6001.3 และ SL ที่ประมาณ 5985.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Buy/Long 2 หากสามารถเบรกแนวต้านที่ช่วงราคา 5998.9 - 6003.9 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 6013.0 และ SL ที่ประมาณ 5990.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 5998.9 - 6003.9 แต่ไม่สามารถเบรกแนวต้านที่ 5998.9 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 5992.5 และ SL ที่ประมาณ 6006.4 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Sell/Short 2 หากสามารถเบรกแนวรับที่ช่วงราคา 5987.5 - 5992.5 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 5979.0 และ SL ที่ประมาณ 6001.4 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Pivot Points Feb 25, 2025 09:21AM GMT+7
Name
|
S3
|
S2
|
S1
|
Pivot Points
|
R1
|
R2
|
R3
|
---|---|---|---|---|---|---|---|
Classic | 5984.3 | 5987.2 | 5992.8 | 5995.7 | 6001.3 | 6004.2 | 6009.8 |
Fibonacci | 5987.2 | 5990.4 | 5992.5 | 5995.7 | 5998.9 | 6001 | 6004.2 |
Camarilla | 5996.1 | 5996.8 | 5997.6 | 5995.7 | 5999.2 | 6000 | 6000.7 |
Woodie's | 5985.7 | 5987.9 | 5994.2 | 5996.4 | 6002.7 | 6004.9 | 6011.2 |
DeMark's | - | - | 5994.2 | 5996.4 | 6002.7 | - | - |
ที่มา: Investing 1, Investing 2
อัพเกรดความรู้เพิ่มเติม: คลิ