บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ วันที่ 4 มีนาคม 2568

Create at 1 week ago (Mar 04, 2025 10:01)

หุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัว กังวลสงครามการค้าต่อเนื่อง

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวกในวันศุกร์ ปิดฉากสัปดาห์ที่ผันผวนและเดือนที่ขาดทุนสำหรับดัชนีหลัก หลังจากตลาดเผชิญความผันผวน ร่วงลงท่ามกลางการประชุมที่ตึงเครียดระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดียูเครน โวโลดีมีร์ เซเลนสกี

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นกลับมาฟื้นตัวและปิดตลาดในแดนบวก ขณะที่ S&P 500 เริ่มต้นสัปดาห์ด้วยแนวโน้มที่อ่อนแอ โดยร่วงลงในวันจันทร์จากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าทั่วโลกที่กลับมาอีกครั้ง หลังจากที่ทรัมป์ยืนยันว่าภาษีศุลกากรต่อเม็กซิโกและแคนาดาจะมีผลในวันอังคาร พร้อมลงนามคำสั่งเพิ่มภาษีศุลกากรต่อจีน โดยทรัมป์ระบุว่า "ไม่มีช่องว่างให้เจรจา" ในการป้องกันการขึ้นภาษี ซึ่งข้อมูลดังกล่าวส่งผลให้หุ้นผู้ผลิตรถยนต์สหรัฐฯ ร่วงลง โดยหุ้น General Motors (NYSE:GM) ลดลง 3.6% ท่ามกลางการฟื้นตัวช่วงท้ายของตลาดเกิดจากการปรับสมดุลดัชนีและปัจจัยทางเทคนิค โดยพบคำสั่งซื้อสุทธิจำนวนมากในคำสั่งซื้อขายที่ราคาปิดตลาดในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก

ทั้งนี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ ดัชนี Nasdaq ร่วงลงมากที่สุด โดยลดลงเกือบ 4% รวมถึงขาดทุน 3.5% ตลอดทั้งสัปดาห์ ซึ่งเป็นผลการดำเนินงานรายเดือนที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2024 ดัชนี S&P 500 ลดลง 1% ในสัปดาห์และ 1.4% ตลอดทั้งเดือน ขณะที่ดัชนี Dow Jones มีผลการดำเนินงานดีกว่าเล็กน้อย โดยเพิ่มขึ้น 1% ในสัปดาห์ แต่ลดลง 1.6% ในเดือนกุมภาพันธ์ โดยดัชนี S&P 500 ร่วงลงนำโดยกลุ่มเทคโนโลยีและพลังงาน ขณะที่หุ้นเติบโตขนาดใหญ่ส่วนใหญ่ปิดตลาดลดลง รวมถึง Amazon (NASDAQ:AMZN) ที่ปิดตลาดลดลง 3.4% ท่ามกลางภาคเทคโนโลยี โดยเฉพาะบริษัทปัญญาประดิษฐ์และเซมิคอนดักเตอร์ เผชิญแรงเทขายหนัก ส่งผลให้หุ้น Nvidia (NASDAQ:NVDA) ร่วง 8.7% และเข้าสู่แนวโน้มขาลง

ด้านฤดูกาลรายงานผลประกอบการใกล้สิ้นสุดลง แต่ยังมีรายงานจากบริษัทสำคัญๆ รอเปิดเผย โดยนักลงทุนจับตาผลประกอบการของ Broadcom Inc. (NASDAQ:AVGO) และ Costco Wholesale (NASDAQ:COST) โดย Broadcom ซึ่งเป็นบริษัทสำคัญในกระแส AI เตรียมเปิดเผยผลประกอบการไตรมาสแรกปีงบประมาณ 2025 ในวันที่ 6 มีนาคม โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ากำไรต่อหุ้นจะเพิ่มขึ้น 47.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน นอกจากนี้ ยังมีบริษัทอื่น ๆ ที่จะรายงานผลประกอบการในสัปดาห์นี้ ได้แก่ CrowdStrike (NASDAQ:CRWD), MongoDB (NASDAQ:MDB) และ Hewlett Packard Enterprise (NYSE:HPE) โดยแม้ว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจะอ่อนแอ แต่หุ้นกลุ่มป้องกันความเสี่ยง เช่น อสังหาริมทรัพย์ การดูแลสุขภาพ สาธารณูปโภค และสินค้าอุปโภคบริโภค ยังคงมีผลการดำเนินงานที่ดี

ด้านนักกลยุทธ์ของ Goldman Sachs เตือนว่าการฟื้นตัวของ S&P 500 อาจเผชิญแรงกดดันในระยะสั้น หลังจากตลาดร่วงลง 5% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจและการปรับพอร์ตของนักลงทุน พร้อมทั้งระบุว่าหุ้นวัฏจักรมีผลตอบแทนที่ต่ำกว่าหุ้นป้องกันความเสี่ยงถึง 9% และดัชนีความเชื่อมั่นอยู่ที่ -0.4 ซึ่งส่งสัญญาณถึงแนวโน้มที่ต้องใช้ความระมัดระวัง อย่างไรก็ตาม Goldman Sachs ยังคงเป้าหมายปลายปีของ S&P 500 ที่ 6,500 จุด ซึ่งหมายถึงการเพิ่มขึ้น 9% จากระดับปัจจุบัน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้น

ขณะเดียวกัน นักกลยุทธ์ของ Citi เตือนว่าตลาดอาจยังไม่ได้สะท้อนความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับภาษีของทรัมป์อย่างเต็มที่ แม้ว่าผลประกอบการไตรมาสสี่ที่แข็งแกร่งจะช่วยสร้างบรรยากาศเชิงบวกในปี 2025 แต่ Citi คาดว่าประมาณการกำไรจะถูกปรับลดลง โดยนักวิเคราะห์คาดว่า EPS จะลดลงอยู่ในช่วง 265-268 ดอลลาร์ ก่อนจะทรงตัวใกล้เป้าหมายที่ 270 ดอลลาร์ภายในสิ้นปี พร้อมทั้งชี้ว่า แม้ว่าความเสี่ยงด้านภาษีและเศรษฐกิจมหภาคยังคงอยู่ แต่ปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งอาจยังสนับสนุนการเติบโตของกำไรบริษัทได้

นักลงทุนกำลังจับตารายงานเศรษฐกิจที่กำลังจะมาถึง โดยเฉพาะรายงานการจ้างงานของสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 133,000 ตำแหน่งในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นตัวเลขต่ำสุดในรอบสี่เดือน ขณะที่อัตราว่างงานคาดว่าจะอยู่ที่ 4% และการเติบโตของค่าจ้างอาจชะลอตัวลงเหลือ 0.2% อย่างไรก็ตาม นักกลยุทธ์ของ Goldman Sachs คาดว่าตัวเลขการจ้างงานจะสูงกว่านี้ โดยประมาณการณ์ที่ 170,000 ตำแหน่ง โดยอ้างอิงจากดัชนีเศรษฐกิจเชิงบวกและการจ้างงานที่ได้รับแรงหนุนจากผู้อพยพ ขณะที่ตัวชี้วัดตลาดแรงงานอื่น ๆ ที่จะเผยแพร่ในสัปดาห์นี้ ได้แก่ การจ้างงานภาคเอกชนของ ADP, รายงานการปลดพนักงานของ Challenger และข้อมูลผลิตภาพแรงงานและต้นทุนแรงงาน นอกจากนี้ ดัชนี PMI ภาคการผลิตของ ISM คาดว่าจะสะท้อนถึงการชะลอตัวของกิจกรรมโรงงานเล็กน้อย ขณะที่ดัชนี PMI ภาคบริการอาจแสดงถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่อง

ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (1H) CFD US30 DJIA

แนวต้านสำคัญ : 43268.9, 43289.1, 43322.0

แนวรับสำคัญ : 43203.1, 43182.9, 43150.0            

1H Outlook         

วิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มา: TradingView                                        

Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 43133.1 - 43203.1 แต่ไม่สามารถเบรกแนวรับที่ 43203.1 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 43288.5 และ SL ที่ประมาณ 43098.1 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Buy/Long 2 หากสามารถเบรกแนวต้านที่ช่วงราคา 43268.9 - 43338.9 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 43400.0 และ SL ที่ประมาณ 43168.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้                 

Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 43268.9 - 43338.9 แต่ไม่สามารถเบรกแนวต้านที่ 43268.9 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 43202.5 และ SL ที่ประมาณ 43373.9 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Sell/Short 2 หากสามารถเบรกแนวรับที่ช่วงราคา 43133.1 - 43203.1 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 43083.0 และ SL ที่ประมาณ 43304.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Pivot Points Mar 4, 2025 08:42AM GMT+7

Name
S3
S2
S1
Pivot Points
R1
R2
R3
Classic 43116.5 43150 43202.5 43236 43288.5 43322 43374.5
Fibonacci 43150 43182.9 43203.1 43236 43268.9 43289.1 43322
Camarilla 43231.3 43239.2 43247.1 43236 43262.9 43270.8 43278.7
Woodie's 43126.1 43154.8 43212.1 43240.8 43298.1 43326.8 43384.1
DeMark's - - 43219.2 43244.4 43305.2 - -

ที่มา: Investing 1Investing 2

______________________________
อัพเกรดความรู้เพิ่มเติม: คลิกที่นี่
รู้เท่าทันสถานการณ์โลกและบทวิเคราะห์เทคนิคขั้นสูง: คลิกที่นี่
Tags:

TECHNICAL ANALYSIS

ARTICLES