รัฐบาลจีนมีแนวโน้มที่จะใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น

ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 7.26 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับความตึงเครียดด้านการค้าที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งรวมไปถึงการเปิดเผยเป้าหมายการเติบโตของ GDP ในปี 2025 ว่าจะอยู่ใกล้เคียงที่ 5% ได้ช่วยกระตุ้นความคาดหวังต่อมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม

PMI ภาคบริการของจีนพุ่งขึ้นแตะ 51.4 ในเดือนกุมภาพันธ์ เพิ่มขึ้นจากจุดต่ำสุดในรอบ 4 เดือนของเดือนมกราคมที่ 51 โดยการเพิ่มขึ้นนี้ได้รับแรงสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นของธุรกิจเกิดใหม่ ท่ามกลางอุปสงค์ที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นภายในประเทศ ในขณะเดียวกัน ยอดขายจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน แสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างมั่นคงของอุปสงค์จากต่างประเทศได้อย่างดี ด้านการจ้างงานพบว่าการจ้างงานในภาคบริการเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยหลังจากลดลงในช่วง 2 เดือนก่อนหน้า ในด้านต้นทุนต่างๆพบว่าราคาวัตถุดิบลดลงเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2020 เนื่องจากอุปสงค์ของตลาดที่ลดลง ส่งผลให้ต้นทุนราคาขายลดลงเล็กน้อย เนื่องจากบริษัทต่างๆ จำเป็นต้องลดราคาขายเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดได้ดีมากยิ่งขึ้น โดยส่วนใหญ่เป็นการเสนอส่วนลดพิเศษต่างๆ 

จีนได้กำหนดเป้าหมายการเติบโตของ GDP ในปี 2025 ไว้ที่ประมาณ 5% ซึ่งยังคงเท่ากับปีที่แล้ว แม้จะมีความตึงเครียดด้านการค้ากับสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ จีนยังมีแผนกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศเพิ่มเติมด้วยการขยายค่าใช้จ่ายทางการคลังให้มากขึ้น โดยรัฐบาลเจาะพันธบัตรพิเศษระยะยาวมูลค่ากว่า 1.3 ล้านล้านหยวน โดยคาดว่าจะมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเป็น 1.78 ล้านล้านหยวน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในปีนี้

ทางรัฐบาลจีนยังคงแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศอีกด้วย โดยตั้งใจที่จะเปิดระบบเศรษฐกิจให้เอื้อต่อการลงทุนมากยิ่งขึ้น โดยมีการคาดการณ์ค่าใช้จ่ายด้านกลาโหมว่าจะเติบโตขึ้นอีกประมาณ 7.2% ซึ่งเท่ากับการเติบโตในปีที่ผ่านมา นอกจากนี้จีนยังได้ปรับเพิ่มอัตราส่วนการขาดดุลต่อ GDP จาก 3% มาสู่ 4% ในปี 2024 สำหรับการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 2% เนื่องจากภาวะเงินฝืดยังคงสร้างแรงกดดันให้แก่ระบบเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง 

นอกจากนี้ จีนยังได้ประกาศว่าจะขึ้นภาษีสินค้าที่นำเข้าจากสหรัฐ และมาตรการอื่นๆ เพื่อตอบโต้ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ที่ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนทั้งหมดจาก 10% เป็น 20% ส่งผลให้รัฐบาลจีนได้ตัดสินใจขึ้นภาษีบางส่วนจากสหรัฐ 15% ในขณะที่การขึ้นภาษีสำหรับสินค้าสำหรับการบริโภคจะถูกขึ้นภาษีอีก 10% อยากไรก็ตาม การขึ้นภาษีของสหรัฐนี้อ้างว่ามีจุดประสงค์เพื่อกดดันให้จีนควบคุมการนำเข้าของสารเสพติดโดยเฉพาะเฟนทานิล นอกจากนี้ ทรัมป์ยังขึ้นภาษี 25% สำหรับแคนาดาและเม็กซิโก โดยเรียกร้องให้มีการควบคุมชายแดนที่เข้มงวดยิ่งขึ้น โดยทางนักลงทุนคาดการณ์ว่ารัฐบาลจีนจะออกมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจภายในประเทศสามารถรับมือกับผลกระทบจากภาษีที่เพิ่มขึ้นได้

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจีนอายุ 10 ปี ลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 1.75% เนื่องจากความตึงเครียดทางการค้าเรื่องทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนตัดสินใจเข้าซื้อสินทรัพย์ที่ปลอดภัย โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลมากยิ่งขึ้น โดนนักลงทุนยังคงรอการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจเพิ่มเติมเพื่อคาดการณ์มาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน