ECB จ่อหั่นดอกเบี้ย ยูโรแข็งค่า ท่ามกลางความเสี่ยงทางการค้า
ธนาคารกลางยุโรป (ECB) คาดว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลงสู่ 2.50% ตามที่ Reuters คาดการณ์ โดยการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในกลางปี แต่แนวโน้มหลังจากเดือนมิถุนายนยังคงไม่ชัดเจน เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ใกล้เป้าหมาย 2% ของ ECB ทำให้อาจไม่มีความจำเป็นในการลดดอกเบี้ยอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจที่ซบเซาและความเสี่ยงภายนอกโดยเฉพาะความตึงเครียดทางการค้า ทำให้การตัดสินใจซับซ้อนมากขึ้น โดยตลาดคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 2.00% ภายในสิ้นปี ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์บางรายเชื่อว่าอาจลดลงอีก
ทั้งนี้ การที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เสนอที่จะจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้กับรถยนต์และสินค้าจากยุโรปเพิ่มความซับซ้อนให้กับทางเลือกนโยบายของ ECB โดยผู้ตอบแบบสำรวจของ Reuters เกือบทั้งหมด ชี้ถึงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับการเติบโตของยูโรโซน เนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการค้าทำให้การลงทุนลดลง ส่งผลให้ ECB เผชิญกับภาวะที่ต้องตัดสินใจระหว่างการสนับสนุนการเติบโตและการรักษาเสถียรภาพราคาสินค้า โดยหลังจากที่คาดว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยในวันที่ 6 มีนาคม ECB คาดว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยอีก 50 จุดในไตรมาสถัดไป ก่อนที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้จนถึงอย่างน้อยปี 2026
ด้านค่าเงินยูโรมีการปรับตัวสูงขึ้น ทำสถิติสูงสุดในรอบสี่เดือนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ โดยได้รับแรงหนุนจากผลตอบแทนพันธบัตรยุโรปที่สูงขึ้น ขณะที่กองทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 500 พันล้านยูโรของเยอรมนีและการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์การกู้ยืมทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้น โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะ 30 ปีเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 25 จุดในบางช่วง ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงในนโยบายการคลังของเยอรมนี ซึ่งใช้งบดุลที่แข็งแกร่งในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและการทหาร ที่สร้างความประหลาดใจให้กับตลาดและช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับยูโร นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ยูโรอาจยังคงแข็งค่าต่อไป โดย Deutsche Bank, Rabobank และ MUFG พลิกกลับมุมมองจากเชิงลบเป็นเชิงบวก ซึ่งปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวคือการตกลงระหว่างรัฐบาลเยอรมนีกับพรรคการเมืองต่างๆ ในการผ่อนคลายข้อจำกัดหนี้สินที่มีมานาน ซึ่งทำให้สามารถเพิ่มการใช้จ่ายโดยเฉพาะในด้านโครงสร้างพื้นฐานและการทหาร และคาดว่าจะช่วยลดผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจหยุดชะงักที่อาจเกิดจากการค้า
อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะมีพัฒนาการเชิงบวก แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจของยูโรโซนยังคงชะลอตัว โดยการขยายตัวของภาคบริการไม่สามารถชดเชยการถดถอยที่ยาวนานของภาคการผลิตได้ ข้อมูลล่าสุดจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ชี้ถึงภาวะชะงักงัน โดยอุปสงค์โดยรวมยังคงอ่อนแอ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังคงเป็นปัญหาสำคัญ โดยเฉพาะในภาคบริการที่ยังคงมีแรงกดดันจากราคาสินค้า แม้ว่าจะมีการชะลอตัวในอัตราการเติบโตของค่าแรง ดัชนีทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันนี้ทำให้เกิดความขัดแย้งภายในคณะกรรมการการกำกับดูแลของ ECB เกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต
ด้านความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังคงซบเซา โดยครัวเรือนคาดว่ารายได้ที่แท้จริงจะชะลอตัวหรือหดตัว ซึ่งสนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ในเยอรมนี การหดตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ปี 2024 มีการลดลงของ GDP ที่ 0.2% สะท้อนถึงการส่งออกที่อ่อนแอลงและต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น แม้ GDP จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในไตรมาสที่ 3 แต่เยอรมนียังคงเผชิญกับความท้าทาย รวมถึงการแข่งขันจากต่างประเทศ ต้นทุนพลังงานสูง และมุมมองเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน
ความท้าทายทางการคลังของเยอรมนียังคงได้รับผลกระทบจากต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น เนื่องจากมีข้อตกลงในการสร้างกองทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 500 พันล้านยูโรและการผ่อนคลายกฎการกู้ยืม โดยข้อตกลงดังกล่าวอาจทำให้หนี้ของเยอรมนีสูงถึง 3.6 ล้านล้านยูโรภายในปี 2029 และสร้างความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการคลัง แม้ว่าเยอรมนีคาดว่าจะรักษาอันดับเครดิตสูงสุดไว้ได้ ขณะที่กิจกรรมทางธุรกิจในภาคบริการชะลอตัว โดยพบอุปสงค์ที่อ่อนแอและการลดลงของคำสั่งซื้อใหม่ การเติบโตของการจ้างงานที่ชะลอตัวลง และความเชื่อมั่นทางธุรกิจยังคงต่ำ สะท้อนถึงการคาดการณ์ที่จำกัดในการฟื้นตัว
ในฝรั่งเศส อัตราเงินเฟ้อลดลงต่ำกว่า 1% ในเดือนกุมภาพันธ์ โดยได้รับแรงหนุนจากการลดลงของราคาพลังงานอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ภาคบริการของฝรั่งเศสประสบกับการหดตัวที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2023 โดยกิจกรรมทางธุรกิจลดลงและต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น ขณะที่ภาคการผลิตเริ่มเห็นสัญญาณการหดตัวที่ลดลง แม้ว่าจะยังคงมีความท้าทาย โดยฝรั่งเศสกำลังเผชิญกับข้อจำกัดทางงบประมาณในขณะที่พยายามเพิ่มการใช้จ่ายด้านการป้องกัน ทำให้รัฐบาลของประธานาธิบดีมาครงต้องเผชิญกับความกดดันในการรักษาสมดุลการขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มขึ้นกับความต้องการใช้จ่ายด้านความมั่นคงที่สูงขึ้น คล้ายกับสถานการณ์ของเยอรมนีที่ต้องเผชิญกับความกดดันในการปฏิรูปนโยบายเศรษฐกิจ
ในสหรัฐอเมริกา คาดว่าดอลลาร์จะยังคงความแข็งแกร่งแม้จะมีความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าล่าสุด นโยบายภาษีของทรัมป์ได้ส่งผลกระทบต่อดอลลาร์ทำให้ลดลงเกือบ 2.5% เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ การสำรวจของ Reuters พบว่านักกลยุทธ์การเงินส่วนใหญ่คาดว่าตำแหน่งซื้อดอลลาร์สุทธิจะลดลง แม้ว่าจะมีบางส่วนที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ การอ่อนค่าของดอลลาร์เป็นผลมาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในสหรัฐฯ ความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อและผลกระทบจากภาษี ข้อมูลทางเศรษฐกิจล่าสุดจากสหรัฐฯ รวมถึงรายงาน Beige Book ของ Fed ชี้ให้เห็นถึงการเติบโตที่อ่อนแอท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับนโยบายของทรัมป์ที่เพิ่มมากขึ้น ขณะที่แม้ว่าจะมีการเติบโตเล็กน้อยในบางภาคธุรกิจ แต่หลายๆ บริษัทยังคงระมัดระวังผลกระทบจากภาษีในการดำเนินงาน ท่ามกลางการคาดการณ์ของ Fed ที่ยังคงไม่แน่นอน
ด้านการเติบโตของการจ้างงานภาคเอกชนในสหรัฐฯ ชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญในเดือนกุมภาพันธ์ บ่งชี้ถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจโดยรวม ขณะที่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง โดยเฉพาะในหมู่ผู้มีความเห็นทางการเมืองฝ่ายซ้าย ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับภาษีและความไม่แน่นอนทางการเมือง
ด้วยเหตุนี้ คู่เงิน EUR/USD คาดว่าจะยังคงมีความผันผวนในช่วงข้างหน้า เนื่องจากนโยบายที่เปลี่ยนแปลงของ ECB และ Fed ส่งผลต่อกระแสตลาด โดยค่าเงินยูโรที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ อันเป็นผลมาจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรเยอรมนีที่ปรับตัวสูงขึ้นและการใช้จ่ายทางการคลังที่ขยายตัว อาจยังคงดำเนินต่อไปในระยะสั้น โดยมีแนวโน้มผลักดัน EUR/USD ไปสู่ระดับ 1.12–1.15 อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงในระยะกลางยังคงอยู่ เนื่องจาก ECB มีแนวโน้มจะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก ขณะที่ทิศทางของ Fed เกี่ยวกับนโยบายผ่อนคลายทางการเงินยังไม่แน่ชัด เมื่อพิจารณาจากปัจจัยเหล่านี้ แรงขาขึ้นของเงินยูโรอาจยังคงดำเนินต่อไปในระยะใกล้ แต่ยังมีโอกาสที่ EUR/USD จะปรับตัวกลับสู่ระดับ 1.08–1.10 หากภาวะเศรษฐกิจอ่อนแอลงหรือหาก Fed ส่งสัญญาณชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (1H) CFD EUR/USD
แนวต้านสำคัญ : 1.0817, 1.0824, 1.0836
แนวรับสำคัญ : 1.0793, 1.0786, 1.0774
1H Outlook
ที่มา: TradingView
Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 1.0778 - 1.0793 แต่ไม่สามารถทะลุแนวรับที่ 1.0793 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.0818 และ SL ที่ประมาณ 1.0771 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Buy/Long 2 หากสามารถทะลุแนวต้านที่ช่วงราคา 1.0817 - 1.0832 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.0849 และ SL ที่ประมาณ 1.0786 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 1.0817 - 1.0832 แต่ไม่สามารถทะลุแนวต้านที่ 1.0817 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.0787 และ SL ที่ประมาณ 1.0839 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Sell/Short 2 หากสามารถทะลุแนวรับที่ช่วงราคา 1.0778 - 1.0793 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.0756 และ SL ที่ประมาณ 1.0824 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Pivot Points Mar 6, 2025 08:27AM GMT+7
Name
|
S3
|
S2
|
S1
|
Pivot Points
|
R1
|
R2
|
R3
|
---|---|---|---|---|---|---|---|
Classic | 1.0756 | 1.0774 | 1.0787 | 1.0805 | 1.0818 | 1.0836 | 1.0849 |
Fibonacci | 1.0774 | 1.0786 | 1.0793 | 1.0805 | 1.0817 | 1.0824 | 1.0836 |
Camarilla | 1.0791 | 1.0794 | 1.0797 | 1.0805 | 1.0803 | 1.0806 | 1.0809 |
Woodie's | 1.0754 | 1.0773 | 1.0785 | 1.0804 | 1.0816 | 1.0835 | 1.0847 |
DeMark's | - | - | 1.0781 | 1.0802 | 1.0811 | - | - |
ที่มา: Investing 1, Investing 2
อัพเกรดความรู้เพิ่มเติม: คลิ