บทวิเคราะห์ EUR/USD วันที่ 6 มีนาคม 2568

Create at 7 hours ago (Mar 06, 2025 16:00)

ECB จ่อหั่นดอกเบี้ย ยูโรแข็งค่า ท่ามกลางความเสี่ยงทางการค้า

ธนาคารกลางยุโรป (ECB) คาดว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลงสู่ 2.50% ตามที่ Reuters คาดการณ์ โดยการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในกลางปี แต่แนวโน้มหลังจากเดือนมิถุนายนยังคงไม่ชัดเจน เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ใกล้เป้าหมาย 2% ของ ECB ทำให้อาจไม่มีความจำเป็นในการลดดอกเบี้ยอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจที่ซบเซาและความเสี่ยงภายนอกโดยเฉพาะความตึงเครียดทางการค้า ทำให้การตัดสินใจซับซ้อนมากขึ้น โดยตลาดคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 2.00% ภายในสิ้นปี ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์บางรายเชื่อว่าอาจลดลงอีก

ทั้งนี้ การที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เสนอที่จะจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้กับรถยนต์และสินค้าจากยุโรปเพิ่มความซับซ้อนให้กับทางเลือกนโยบายของ ECB โดยผู้ตอบแบบสำรวจของ Reuters เกือบทั้งหมด ชี้ถึงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับการเติบโตของยูโรโซน เนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการค้าทำให้การลงทุนลดลง ส่งผลให้ ECB เผชิญกับภาวะที่ต้องตัดสินใจระหว่างการสนับสนุนการเติบโตและการรักษาเสถียรภาพราคาสินค้า โดยหลังจากที่คาดว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยในวันที่ 6 มีนาคม ECB คาดว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยอีก 50 จุดในไตรมาสถัดไป ก่อนที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้จนถึงอย่างน้อยปี 2026

ด้านค่าเงินยูโรมีการปรับตัวสูงขึ้น ทำสถิติสูงสุดในรอบสี่เดือนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ โดยได้รับแรงหนุนจากผลตอบแทนพันธบัตรยุโรปที่สูงขึ้น ขณะที่กองทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 500 พันล้านยูโรของเยอรมนีและการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์การกู้ยืมทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้น โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะ 30 ปีเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 25 จุดในบางช่วง ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงในนโยบายการคลังของเยอรมนี ซึ่งใช้งบดุลที่แข็งแกร่งในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและการทหาร ที่สร้างความประหลาดใจให้กับตลาดและช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับยูโร นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ยูโรอาจยังคงแข็งค่าต่อไป โดย Deutsche Bank, Rabobank และ MUFG พลิกกลับมุมมองจากเชิงลบเป็นเชิงบวก ซึ่งปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวคือการตกลงระหว่างรัฐบาลเยอรมนีกับพรรคการเมืองต่างๆ ในการผ่อนคลายข้อจำกัดหนี้สินที่มีมานาน ซึ่งทำให้สามารถเพิ่มการใช้จ่ายโดยเฉพาะในด้านโครงสร้างพื้นฐานและการทหาร และคาดว่าจะช่วยลดผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจหยุดชะงักที่อาจเกิดจากการค้า

อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะมีพัฒนาการเชิงบวก แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจของยูโรโซนยังคงชะลอตัว โดยการขยายตัวของภาคบริการไม่สามารถชดเชยการถดถอยที่ยาวนานของภาคการผลิตได้ ข้อมูลล่าสุดจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ชี้ถึงภาวะชะงักงัน โดยอุปสงค์โดยรวมยังคงอ่อนแอ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังคงเป็นปัญหาสำคัญ โดยเฉพาะในภาคบริการที่ยังคงมีแรงกดดันจากราคาสินค้า แม้ว่าจะมีการชะลอตัวในอัตราการเติบโตของค่าแรง ดัชนีทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันนี้ทำให้เกิดความขัดแย้งภายในคณะกรรมการการกำกับดูแลของ ECB เกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต

ด้านความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังคงซบเซา โดยครัวเรือนคาดว่ารายได้ที่แท้จริงจะชะลอตัวหรือหดตัว ซึ่งสนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ในเยอรมนี การหดตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ปี 2024 มีการลดลงของ GDP ที่ 0.2% สะท้อนถึงการส่งออกที่อ่อนแอลงและต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น แม้ GDP จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในไตรมาสที่ 3 แต่เยอรมนียังคงเผชิญกับความท้าทาย รวมถึงการแข่งขันจากต่างประเทศ ต้นทุนพลังงานสูง และมุมมองเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน

ความท้าทายทางการคลังของเยอรมนียังคงได้รับผลกระทบจากต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น เนื่องจากมีข้อตกลงในการสร้างกองทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 500 พันล้านยูโรและการผ่อนคลายกฎการกู้ยืม โดยข้อตกลงดังกล่าวอาจทำให้หนี้ของเยอรมนีสูงถึง 3.6 ล้านล้านยูโรภายในปี 2029 และสร้างความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการคลัง แม้ว่าเยอรมนีคาดว่าจะรักษาอันดับเครดิตสูงสุดไว้ได้ ขณะที่กิจกรรมทางธุรกิจในภาคบริการชะลอตัว โดยพบอุปสงค์ที่อ่อนแอและการลดลงของคำสั่งซื้อใหม่ การเติบโตของการจ้างงานที่ชะลอตัวลง และความเชื่อมั่นทางธุรกิจยังคงต่ำ สะท้อนถึงการคาดการณ์ที่จำกัดในการฟื้นตัว

ในฝรั่งเศส อัตราเงินเฟ้อลดลงต่ำกว่า 1% ในเดือนกุมภาพันธ์ โดยได้รับแรงหนุนจากการลดลงของราคาพลังงานอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ภาคบริการของฝรั่งเศสประสบกับการหดตัวที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2023 โดยกิจกรรมทางธุรกิจลดลงและต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น ขณะที่ภาคการผลิตเริ่มเห็นสัญญาณการหดตัวที่ลดลง แม้ว่าจะยังคงมีความท้าทาย โดยฝรั่งเศสกำลังเผชิญกับข้อจำกัดทางงบประมาณในขณะที่พยายามเพิ่มการใช้จ่ายด้านการป้องกัน ทำให้รัฐบาลของประธานาธิบดีมาครงต้องเผชิญกับความกดดันในการรักษาสมดุลการขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มขึ้นกับความต้องการใช้จ่ายด้านความมั่นคงที่สูงขึ้น คล้ายกับสถานการณ์ของเยอรมนีที่ต้องเผชิญกับความกดดันในการปฏิรูปนโยบายเศรษฐกิจ

ในสหรัฐอเมริกา คาดว่าดอลลาร์จะยังคงความแข็งแกร่งแม้จะมีความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าล่าสุด นโยบายภาษีของทรัมป์ได้ส่งผลกระทบต่อดอลลาร์ทำให้ลดลงเกือบ 2.5% เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ การสำรวจของ Reuters พบว่านักกลยุทธ์การเงินส่วนใหญ่คาดว่าตำแหน่งซื้อดอลลาร์สุทธิจะลดลง แม้ว่าจะมีบางส่วนที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ การอ่อนค่าของดอลลาร์เป็นผลมาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในสหรัฐฯ ความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อและผลกระทบจากภาษี ข้อมูลทางเศรษฐกิจล่าสุดจากสหรัฐฯ รวมถึงรายงาน Beige Book ของ Fed ชี้ให้เห็นถึงการเติบโตที่อ่อนแอท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับนโยบายของทรัมป์ที่เพิ่มมากขึ้น ขณะที่แม้ว่าจะมีการเติบโตเล็กน้อยในบางภาคธุรกิจ แต่หลายๆ บริษัทยังคงระมัดระวังผลกระทบจากภาษีในการดำเนินงาน ท่ามกลางการคาดการณ์ของ Fed ที่ยังคงไม่แน่นอน

ด้านการเติบโตของการจ้างงานภาคเอกชนในสหรัฐฯ ชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญในเดือนกุมภาพันธ์ บ่งชี้ถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจโดยรวม ขณะที่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง โดยเฉพาะในหมู่ผู้มีความเห็นทางการเมืองฝ่ายซ้าย ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับภาษีและความไม่แน่นอนทางการเมือง

ด้วยเหตุนี้ คู่เงิน EUR/USD คาดว่าจะยังคงมีความผันผวนในช่วงข้างหน้า เนื่องจากนโยบายที่เปลี่ยนแปลงของ ECB และ Fed ส่งผลต่อกระแสตลาด โดยค่าเงินยูโรที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ อันเป็นผลมาจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรเยอรมนีที่ปรับตัวสูงขึ้นและการใช้จ่ายทางการคลังที่ขยายตัว อาจยังคงดำเนินต่อไปในระยะสั้น โดยมีแนวโน้มผลักดัน EUR/USD ไปสู่ระดับ 1.12–1.15 อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงในระยะกลางยังคงอยู่ เนื่องจาก ECB มีแนวโน้มจะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก ขณะที่ทิศทางของ Fed เกี่ยวกับนโยบายผ่อนคลายทางการเงินยังไม่แน่ชัด เมื่อพิจารณาจากปัจจัยเหล่านี้ แรงขาขึ้นของเงินยูโรอาจยังคงดำเนินต่อไปในระยะใกล้ แต่ยังมีโอกาสที่ EUR/USD จะปรับตัวกลับสู่ระดับ 1.08–1.10 หากภาวะเศรษฐกิจอ่อนแอลงหรือหาก Fed ส่งสัญญาณชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ย

ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (1H) CFD EUR/USD

แนวต้านสำคัญ : 1.0817, 1.0824, 1.0836

แนวรับสำคัญ : 1.0793, 1.0786, 1.0774               

1H Outlook    

วิเคราะห์ EUR/USD ที่มา: TradingView                                     

Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 1.0778 - 1.0793 แต่ไม่สามารถทะลุแนวรับที่ 1.0793 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.0818 และ SL ที่ประมาณ 1.0771 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Buy/Long 2 หากสามารถทะลุแนวต้านที่ช่วงราคา 1.0817 - 1.0832 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.0849 และ SL ที่ประมาณ 1.0786 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้                 

Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 1.0817 - 1.0832 แต่ไม่สามารถทะลุแนวต้านที่ 1.0817 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.0787 และ SL ที่ประมาณ 1.0839 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Sell/Short 2 หากสามารถทะลุแนวรับที่ช่วงราคา 1.0778 - 1.0793 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.0756 และ SL ที่ประมาณ 1.0824 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Pivot Points Mar 6, 2025 08:27AM GMT+7

Name
S3
S2
S1
Pivot Points
R1
R2
R3
Classic 1.0756 1.0774 1.0787 1.0805 1.0818 1.0836 1.0849
Fibonacci 1.0774 1.0786 1.0793 1.0805 1.0817 1.0824 1.0836
Camarilla 1.0791 1.0794 1.0797 1.0805 1.0803 1.0806 1.0809
Woodie's 1.0754 1.0773 1.0785 1.0804 1.0816 1.0835 1.0847
DeMark's - - 1.0781 1.0802 1.0811 - -

ที่มา: Investing 1Investing 2

______________________________
อัพเกรดความรู้เพิ่มเติม: คลิกที่นี่
รู้เท่าทันสถานการณ์โลกและบทวิเคราะห์เทคนิคขั้นสูง: คลิกที่นี่
Tags:

TECHNICAL ANALYSIS

ARTICLES