อัตราเงินเฟ้อของจีนกลับมาติดลบ

ค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้นน้อย หลังจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงในช่วงก่อนหน้า เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐ ที่เกิดจากภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ นักลงทุนกังวลมากขึ้นหลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐฯ กล่าวเป็นนัยว่าสหรัฐจะเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านอีกครั้ง ด้านเศรษฐกิจของจีนพบว่ารัฐบาลมีแผนที่จะเพิ่มมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยเพิ่มเป้าหมายการขาดดุลการคลังเป็น 4%  นอกจากนี้นักลงทุนคาดหวังว่าธนาคารกลางจีนจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆนี้หลังอัตราเงินเฟ้อที่กลับมาติดลบอีกครั้ง

ดุลการค้าของจีนพุ่งแตะระดับ 170,520 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 2 เดือนแรกของปี เพิ่มขึ้นจาก 125,160 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงเดียวกันของปีก่อน การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ส่วนใหญ่มาจากการนำเข้าที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยการนำเข้าลดลงกว่า 8.4% ส่งผลให้การนำเข้า เหลือ 369,400 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากอุปสงค์ภายในประเทศลดลงและผลกระทบจากภาษีศุลกากรที่สูงขึ้นของสหรัฐฯ ทำให้ธุรกิจส่วนใหญ่ชะลอการนำเข้าสินค้าออกไปก่อนและรอคอยนโยบายที่ชัดเจนขึ้นจากสหรัฐ

ด้านการส่งออกพบว่าเติบโต 2.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า คิดเป็นมูลค่า 540,000 ล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 5.0% และชะลอตัวลงอย่างรวดเร็วจากการพุ่งขึ้น 10.7% ในเดือนธันวาคม ซึ่งสะท้อนถึงความตึงเครียดทางการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นกับสหรัฐฯ และกิจกรรมที่ซบเซาในช่วงวันหยุดตรุษจีน นอกจากนี้ การส่งออกสินค้ายังเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น ซค่งสินค้าส่งออกส่วนใหญ่ยังคงเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร, ปุ๋ย และผลิตภัณฑ์เครื่องจักรและอิเล็กทรอนิกส์ โดยการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นเพียง 2.3%

อัตราเงินเฟ้อของจีนลดลง 0.7% เมื่อเทียบเป็นรายปีในเดือนกุมภาพันธ์ นับเป็นภาวะเงินฝืดครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2024 ท่ามกลางอุปสงค์ที่ลดลงหลังเทศกาลตรุษจีนในช่วงปลายเดือนมกราคม โดยราคาอาหารลดลงมากที่สุดในรอบ 13 เดือน ที่ 3.3% โดยราคาผักสดและราคาเนื้อหมูชะลอตัวลงอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกัน ราคาสินค้าที่ไม่ใช่อาหารลดลงเล็กน้อยที่ 0.1% ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงานที่ผันผวน ลดลง 0.1% ในเดือนกุมภาพันธ์ แสดงให้เห็นถึงแรงกดดันด้านเงินฝืดที่เกิดขึ้นอีกครั้ง ส่งผลให้นักลงทุนคาดการณ์ว่ารัฐบาลจีนจะออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม

PMI ภาคการผลิตของจีนเพิ่มขึ้นเป็น 50.8 ในเดือนกุมภาพันธ์ สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 50.3 ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว โดยผลผลิตที่สามารถทำได้และคำสั่งซื้อใหม่เติบโตมากที่สุดในรอบ 3 เดือน เนื่องจากสภาวะตลาดที่ดีขึ้นได้ช่วยกระตุ้นอุปสงค์บางส่วน นอกจากนี้ ยอดขายต่างประเทศยังเพิ่มขึ้น หลังจากลดลง 2 เดือนติดต่อกัน ด้านบริษัทต่างๆ ได้เพิ่มระดับการซื้อของตน แม้ว่าจะไม่เพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการการผลิตได้อย่างเต็มที่ก็ตาม ด้านการจ้างงานพบว่าอัตราการจ้างงานยังคงหดตัวลงต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับการชะลอการจ้างงานหลังต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น

จีนวางแผนที่จะอัดฉีดเงินอย่างน้อย 400,000 ล้านหยวนเข้าในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เม่งเน้นไปที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ซบเซา โดยธนาคารที่ได้รับเงินส่วนใหญ่เป็นธนาคารที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยพื้นฐาน เข่น ธนาคารเกษตรแห่งประเทศจีน เนื่องจากธนาคารหลักของจีนมีบทบาทสำคัญในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจและการเงินของรัฐบาล จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนผู้กู้ที่ประสบปัญหาและรักษาเสถียรภาพทางการเงิน