ยูโรโซนตัดสินใจปรับขึ้นภาษีนำเข้าเช่นเดียวกัน 

ยูโรแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง เนื่องจากนักลงทุนเริ่มเห็นสัญญาณการเจรจาที่อาจประสบความสำเร็จมากขึ้น โดยการเจรจาในครั้งนี้เป็นการเจรจาหยุดยิง โดยมีสหรัฐเป็นตัวการในการสงบศึกกว่า 30 วันกับรัสเซีย โดยการเจรจาในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงกับรัฐบาลทรัมป์ เพื่อแลกกับการยกเลิกการช่วยเหลือด้านการทหารและการแบ่งปันข่าวกรอง โดยสหรัฐได้เสนอข้อมูลนี้ต่อประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซียเพื่อให้มีโอกาสได้เจรจาการทูตในครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดด้านการค้าที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นหลังจากที่สหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมเพิ่มขึ้นเป็น 25% จากแคนาดา, ออสเตรเลีย, สหภาพยุโรป และประเทศอื่นๆในวันพุธที่ผ่านมา ส่งผลให้ยูโรโซนใช้มาตรการตอบโต้เรียกเก็บภาษีสินค้าสหรัฐด้วยเช่นเดียวกัน โดยการตอบโต้ในครั้งนี้คาดว่ามีมูลค่ากว่า 26,000 ล้านยูโรซึ่งจะเริ่มใช้อย่างเป็นทางการในเดือนเมษายน ควบคุมทั้งเหล็ก, อลูมิเนียม, สิ่งทอและรวมไปถึงเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์อื่นๆ นอกจากนี้ค่าเงินยูโรยังแข็งค่าขึ้นจากความคาดหวังจากการใช้จ่ายด้านการป้องกันภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศ

ธนาคารกลางยุโรปปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 25 bps ซึ่งตรงกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลงเหลือ 2.50% อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์หลักลงเหลือ 2.65% และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำลงเหลือ 2.90% การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มเงินเฟ้อที่ลดลง นอกจากนี้ ธนาคารกลางยุโรปยังยอมรับว่าจะดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อยคลายลง ทำให้ต้นทุนการกู้ยืมสำหรับธุรกิจและครัวเรือนลดลงด้วย อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางยังจำเป็นต้องจับตามองปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น สงครามการค้าโลกที่ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น อาจส่งผลให้ธุรกิจส่งออกในยูโรโซนได้รับผลกระทบโดยตรง และทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศเกิดการหยุดชะงักชั่วคราว

ธนาคารกลางยุโรปได้มีการคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 2.3% ในปี 2025, 1.9% ในปี 2026 และ 2.0% ในปี 2027 โดยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะเข้าใกล้เป้าหมายที่ 2% เช่นกัน แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อในประเทศจะยังคงสูงขึ้นเนื่องจากการปรับค่าจ้าง แต่การเติบโตของค่าจ้างกำลังชะลอตัวลง นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจว่าจะลดลงเหลือ 0.9% ในปี 2025 และ 1.2% ในปี 2026 ซึ่งสะท้อนถึงการส่งออกและการลงทุนที่อ่อนแอ โดยธนาคารกลางยังคงพึ่งพาข้อมูลก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อให้แน่ใจว่าอัตราเงินเฟ้อจะคงที่ที่เป้าหมายระยะกลางที่ประมาณ 2%

เศรษฐกิจของยูโรโซนขยายตัว 1.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนในไตรมาสที่ 4 ของปี 2024 ถือเป็นการขยายตัวเร็วที่สุดตั้งแต่ปี 2023 โดยได้รับแรงหนุนจากต้นทุนการกู้ยืมที่ลดลงและแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ผ่อนคลาย นอกจากนี้ การบริโภคครัวเรือนยังคงเติบโต 1.5% หลังจากเพิ่มขึ้น 1.1% ในไตรมาสที่ 3 ในขณะที่การใช้จ่ายของรัฐบาลเพิ่มขึ้น 2.8% อย่างไรก็ตาม ดุลการค้าของยูโรโซนยังคงใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากการส่งออกเพิ่มขึ้น 1.1% ในขณะที่การนำเข้าเพิ่มขึ้น 1.2% โดยสเปนยังคงเป็นผู้นำด้านการขยายตัวที่แข็งแกร่งกว่า 3.5%  รองลงมาคือเนเธอร์แลนด์ที่ขยายตัว 1.8% ทั้งนี้ ที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างเยอรมนียังคงอยู่ในภาวะหดตัว