ยูโรแข็งค่าหลังเยอรมนีประกาศแผนการคลัง 500 พันล้านยูโร ขณะดอลลาร์ร่วงต่ำสุดรอบ 5 เดือน
เงินยูโรแข็งค่าขึ้นในวันศุกร์หลังจากข้อตกลงทางการคลังของเยอรมนี ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมและกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากนายฟรีดริช แมร์ทซ์ ว่าที่นายกรัฐมนตรี และพรรคกรีนส์ โดยรวมถึงกองทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 500,000 ล้านยูโร (544,000 ล้านดอลลาร์) และการปฏิรูปกฎการกู้ยืม ส่งผลให้เงินยูโรแข็งค่าขึ้น 0.27% แตะที่ 1.0876 ดอลลาร์ โดยนักวิเคราะห์จากโนมูระและมอร์แกน สแตนลีย์คาดการณ์ว่าเงินยูโรจะมีแนวโน้มแข็งค่าต่อไปหากมาตรการทางการคลังคืบหน้า
มุมมองของตลาดต่อเงินยูโรปรับตัวเป็นบวกอย่างมาก โดย BofA Securities รายงานว่ามีการถือครองสถานะซื้อเงินยูโรในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ความคาดหวังต่ออัตราดอกเบี้ยสูงสุดของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยมีฉันทามติว่ายังคงต้องรักษาอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 2% หรือสูงกว่า นายโรเบิร์ต โฮลซ์มันน์ ผู้กำหนดนโยบายของ ECB สนับสนุนให้ชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนเมษายน เนื่องจากความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้น ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมของยูโรโซนขยายตัว 0.8% ในเดือนมกราคม โดยมีเยอรมนีเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก แต่ภาวะอุปสงค์ที่อ่อนแอและการแข่งขันจากจีนยังคงเป็นปัจจัยท้าทาย
ในทางตรงกันข้าม ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือน ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าและข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ โดยความเป็นไปได้ที่รัฐบาลสหรัฐฯ จะสามารถหลีกเลี่ยงภาวะชัตดาวน์ได้ส่งผลช่วยให้เงินดอลลาร์มีเสถียรภาพในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม โกลด์แมน แซคส์ระบุว่าความเชื่อมั่นของตลาดกำลังเปลี่ยนไปสนับสนุนแนวทางทางการคลังของเยอรมนีมากกว่าความโดดเด่นทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และยุโรปทวีความรุนแรงขึ้น โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่เรียกเก็บภาษี 200% สำหรับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากยุโรป ขณะที่นางคริสติน ลาการ์ด ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปเตือนถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจ แต่ระบุว่าความขัดแย้งทางการค้าอาจเป็นแรงผลักดันให้ยุโรปรวมตัวกันมากขึ้น
ด้านอัตราเงินเฟ้อของเยอรมนีลดลงเหลือ 2.6% ในเดือนกุมภาพันธ์ ส่งผลให้การคาดการณ์ตัวเลขเงินเฟ้อของยูโรโซนถูกปรับลดลง สถาบันเศรษฐศาสตร์ DIW ของเยอรมนีคาดว่ากองทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 500,000 ล้านยูโร อาจช่วยเพิ่มจีดีพีมากกว่าสองเปอร์เซ็นต์ในช่วงสิบปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนทางการเมืองและความตึงเครียดทางการค้าทั่วโลกทำให้การคาดการณ์เศรษฐกิจถูกปรับลดลง โดยเศรษฐกิจเยอรมนีคาดว่าจะซบเซาในปี 2024 และเติบโตเพียง 1.1% ในปี 2025 หากรวมผลของการกระตุ้นเศรษฐกิจ การเติบโตอาจแตะ 2.1% ภายในปี 2026
แม้ภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนีจะเริ่มฟื้นตัว แต่ความกังวลทางเศรษฐกิจยังคงมีอยู่ โดยยอดส่งออกลดลง 2.5% ในเดือนมกราคม ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนยังคงซบเซา ท่ามกลางอัตราค่าจ้างที่แท้จริงที่ปรับตัวสูงขึ้น เยอรมนียังคงเป็นประเทศเดียวในกลุ่ม G7 ที่ประสบภาวะเศรษฐกิจหดตัวสองปีติดต่อกัน ทำให้เกิดการถกเถียงเกี่ยวกับการปรับปรุงกฎการกู้ยืมเพื่อเพิ่มการลงทุนภาครัฐ โดยข้อเสนอทางการคลังใหม่มุ่งเน้นการปฏิรูปกฎหนี้ การเพิ่มงบประมาณกลาโหม และการจัดสรรงบประมาณ 500,000 ล้านยูโรเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีข้อเสนอให้แก้ไขข้อจำกัดหนี้ตามรัฐธรรมนูญเพื่อยกเว้นค่าใช้จ่ายด้านกลาโหมที่เกิน 1% ของจีดีพี ซึ่งจะช่วยปลดล็อกงบประมาณประมาณ 400,000 ล้านยูโรในช่วงสิบปีข้างหน้า โดยแม้มาตรการเหล่านี้อาจช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ยังมีความกังวลเกี่ยวกับความยั่งยืนทางการคลัง
อย่างไรก็ดี เยอรมนีกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางเศรษฐกิจ นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าหากไม่มีการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง เยอรมนีอาจเผชิญภาวะชะงักงันและความสามารถในการแข่งขันลดลงไปจนถึงปี 2030 ดอยช์แบงก์เน้นว่าช่วงวาระกฎหมายถัดไปอาจเป็นโอกาสสุดท้ายของเยอรมนีในการรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจระยะยาว ขณะที่แคปิตอล อีโคโนมิกส์มองว่าการปฏิรูปที่เสนอนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ แม้ว่าผลกระทบที่แท้จริงยังไม่แน่ชัด
ด้านเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่ากว่า 4% ในปีนี้ หลังจากแตะระดับสูงสุดในรอบหกเดือนเมื่อเดือนมกราคม ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าและความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยความกังวลเกี่ยวกับภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลได้เพิ่มความผันผวนให้ตลาด
ทั้งนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ สะท้อนถึงความไม่แน่นอนในตลาด โดยดัชนีราคาผู้ผลิตปรับตัวขึ้นช้ากว่าที่คาดในเดือนกุมภาพันธ์ และตัวเลขรายเดือนทรงตัว ซึ่งอาจมีผลต่อมุมมองของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เกี่ยวกับเงินเฟ้อ ขณะเดียวกัน ความเชื่อมั่นผู้บริโภคดิ่งลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบสองปีครึ่งในเดือนมีนาคม จากความกังวลเกี่ยวกับภาษีของทรัมป์และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
สำหรับแนวโน้มในอนาคต Wells Fargo คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 เนื่องจากความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าและการลดจำนวนแรงงานของรัฐบาลกลาง แม้เศรษฐกิจยังแข็งแกร่งพอที่จะหลีกเลี่ยงภาวะถดถอย แต่ความเสี่ยงด้านลบยังคงมีอยู่
ในด้านคู่สกุลเงิน Morgan Stanley มองว่าเงินยูโรมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น โดยอัตราแลกเปลี่ยน EUR/USD อาจแตะ 1.12 ดอลลาร์ หากมีนโยบายการคลังของเยอรมนีความชัดเจน อย่างไรก็ตาม การแข็งค่าต่อไปของเงินยูโรจะขึ้นอยู่กับความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างนโยบายของสหรัฐฯ และยุโรป แม้ว่าความเชื่อมั่นของตลาดจะเอียงไปทางเงินยูโร แต่นักวิเคราะห์เตือนว่ามุมมองเชิงบวกที่มากเกินไปอาจไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจโดยรวม
ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (1H) CFD EUR/USD
แนวต้านสำคัญ : 1.0888, 1.0892, 1.0898
แนวรับสำคัญ : 1.0876, 1.0872, 1.0866
1H Outlook
ที่มา: TradingView
Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 1.0864 - 1.0876 แต่ไม่สามารถทะลุแนวรับที่ 1.0876 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.0890 และ SL ที่ประมาณ 1.0858 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Buy/Long 2 หากสามารถทะลุแนวต้านที่ช่วงราคา 1.0888 - 1.0900 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.0910 และ SL ที่ประมาณ 1.0870 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 1.0888 - 1.0900 แต่ไม่สามารถทะลุแนวต้านที่ 1.0888 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.0874 และ SL ที่ประมาณ 1.0906 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Sell/Short 2 หากสามารถทะลุแนวรับที่ช่วงราคา 1.0864 - 1.0876 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.0855 และ SL ที่ประมาณ 1.0894 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Pivot Points Mar 17, 2025 09:35AM GMT+7
Name
|
S3
|
S2
|
S1
|
Pivot Points
|
R1
|
R2
|
R3
|
---|---|---|---|---|---|---|---|
Classic | 1.0858 | 1.0866 | 1.0874 | 1.0882 | 1.089 | 1.0898 | 1.0906 |
Fibonacci | 1.0866 | 1.0872 | 1.0876 | 1.0882 | 1.0888 | 1.0892 | 1.0898 |
Camarilla | 1.0879 | 1.088 | 1.0882 | 1.0882 | 1.0884 | 1.0886 | 1.0887 |
Woodie's | 1.0858 | 1.0866 | 1.0874 | 1.0882 | 1.089 | 1.0898 | 1.0906 |
DeMark's | - | - | 1.0879 | 1.0884 | 1.0895 | - | - |
ที่มา: Investing 1, Investing 2
อัพเกรดความรู้เพิ่มเติม: คลิ