บทวิเคราะห์ EUR/USD วันที่ 26 มีนาคม 2568

Create at 4 days ago (Mar 26, 2025 09:24)

ยูโรอ่อนค่า ตลาดจับตาการค้าและนโยบายการคลัง

ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ โดยอัตราแลกเปลี่ยน EUR/USD ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 1.0786 ขณะที่แนวโน้มการฟื้นตัวสูญเสียแรงส่ง แม้ว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค Ifo ของเยอรมนีจะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย แต่ยังต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ สืบเนื่องจากข้อมูลดัชนี PMI ที่อ่อนแอ ท่ามกลางความสนใจของตลาดที่หันไปที่การเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครน ซึ่งจะจัดขึ้นที่ซาอุดีอาระเบีย ทั้งนี้ ค่าเงินยูโรที่เคยร่วงลงอย่างหนักก่อนหน้านี้จากความกังวลทางเศรษฐกิจและนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์ คาดว่าจะฟื้นตัวในช่วงปลายปี โดยนักวิเคราะห์จาก Macquarie คาดการณ์ว่าอัตราแลกเปลี่ยน EUR/USD จะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 1.10 เมื่อกระแส "American exceptionalism" หรือคติข้อยกเว้นอเมริกันเริ่มเสื่อมถอย

ทั้งนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงรุกของเยอรมนี รวมถึงแผนการใช้จ่ายมูลค่า 1 ล้านล้านยูโร ได้ช่วยหนุนความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ โดยดัชนีคาดการณ์ภาวะธุรกิจของ Ifo ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 87.7 ในเดือนมีนาคม สะท้อนถึงความมั่นใจที่เพิ่มขึ้น ขณะที่กิจกรรมทางธุรกิจขยายตัวเร็วที่สุดในรอบ 10 เดือน ท่ามกลางดัชนี PMI ภาครวมของยูโรโซนปรับขึ้นแตะ 50.4 บ่งชี้ถึงการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ว่าภาคบริการยังคงซบเซา อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในยูโรโซนลดลงในเดือนมีนาคม และความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหภาพยุโรปกับสหรัฐฯ ทวีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากเจ้าหน้าที่ยุโรปพยายามหลีกเลี่ยงมาตรการภาษีที่รุนแรงต่อสินค้าของสหภาพยุโรป ขณะที่การเจรจากับตัวแทนการค้าสหรัฐฯ ยังไม่ได้ข้อสรุป และแผนเก็บภาษีของทรัมป์ซึ่งมีกำหนดบังคับใช้ในวันที่ 2 เมษายน ยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ

ด้านนโยบายการเงิน สมาชิกคณะกรรมการ ECB นาย Piero Cipollone ระบุว่า เงื่อนไขปัจจุบันเอื้อต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อชะลอตัว ตลาดคาดว่า ECB จะลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือนมิถุนายน และอาจลดลงอีกครั้งภายในสิ้นปี อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ ECB ยังคงระมัดระวัง เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอน เช่น ความขัดแย้งทางการค้าและการใช้จ่ายด้านกลาโหมที่เพิ่มขึ้น โดยการใช้จ่ายจำนวนมากของเยอรมนีในด้านกลาโหมและโครงสร้างพื้นฐานคาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ ประธานธนาคารกลางเนเธอร์แลนด์ นาย Klaas Knot เตือนถึงแนวโน้มเงินเฟ้อที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ ท่ามกลางระดับหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น ด้านประธาน ECB คริสติน ลาการ์ด เตือนว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปอาจฉุดการเติบโตของยูโรโซนลง 0.3–0.5 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่อัตราเงินเฟ้ออาจเพิ่มขึ้นชั่วคราว

อย่างไรก็ดี บรรยากาศทางธุรกิจของเยอรมนีปรับตัวดีขึ้นในเดือนมีนาคม ภาคธุรกิจมีความพึงพอใจมากขึ้นต่อสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน และมีมุมมองเชิงบวกต่ออนาคต โดยการคาดการณ์การส่งออกภาคอุตสาหกรรมที่ดีขึ้น เศรษฐกิจเยอรมนีซึ่งหดตัว 0.2% ในไตรมาสที่แล้ว คาดว่าจะขยายตัว 0.2% ในไตรมาสแรกของปีนี้ โดยได้แรงหนุนจากเสถียรภาพทางการเมืองที่ดีขึ้นและการลงทุนที่เพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายการคลังยังคงเป็นปัจจัยสำคัญต่อแนวโน้มเชิงบวกนี้ เนื่องจากรัฐสภาเยอรมนีได้อนุมัติแพ็คเกจกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นการสิ้นสุดยุคของวินัยทางการคลังที่เข้มงวด นักวิเคราะห์จาก Deutsche Bank คาดว่า GDP จะเติบโต 1.5% ในปี 2026 และ 2% ในปี 2027 แม้ว่าความไม่แน่นอนในระยะสั้นยังคงอยู่ โดยเฉพาะจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ขณะที่การขยายตัวทางการคลังอาจผลักดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเยอรมนีอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้นแตะ 4% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงินปี 2008

ด้านกิจกรรมภาคเอกชนของเยอรมนีส่งสัญญาณการฟื้นตัวในเดือนมีนาคม โดยดัชนี PMI ภาครวมปรับขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 10 เดือน ท่ามกลางการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบเกือบสองปี แม้ว่าภาคบริการจะสูญเสียแรงส่ง ขณะเดียวกัน รายได้จากภาษีของรัฐบาลกลางเยอรมนีเพิ่มขึ้น 8.1% ในเดือนกุมภาพันธ์ โดยได้รับแรงหนุนจากภาษีเงินได้และภาษีการขาย อย่างไรก็ตาม อุปสรรคเชิงโครงสร้าง เช่น ต้นทุนพลังงานที่สูงและภาระด้านกฎระเบียบ ยังคงเป็นปัจจัยฉุดรั้งการเติบโตในระยะยาว ขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ส่งสัญญาณฟื้นตัวเล็กน้อย โดยราคาบ้านพักอาศัยปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.9% เมื่อเทียบรายปีในไตรมาส 4 ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2022 แม้ว่าต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นยังคงเป็นความท้าทาย

ในทางตรงกันข้าม เศรษฐกิจฝรั่งเศสยังคงประสบปัญหา โดยกิจกรรมภาคเอกชนหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่เจ็ด ดัชนี PMI ภาครวมปรับตัวขึ้นเล็กน้อยในเดือนมีนาคม แต่ยังอยู่ในเขตหดตัว ความเชื่อมั่นทางธุรกิจอ่อนแอที่สุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2020 ขณะที่ความไม่แน่นอนด้านนโยบายเศรษฐกิจยังคงอยู่ แม้จะมีการผ่านกฎหมายงบประมาณล่าช้าสำหรับปี 2025

ด้านค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นในวันอังคารหลังจากข้อมูลภาคบริการของสหรัฐฯ ออกมาแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม การแข็งค่ายังถูกจำกัดโดยความไม่แน่นอนด้านนโยบายภาษี โดยภาคบริการแสดงความยืดหยุ่นมากกว่าภาคการผลิต ซึ่งยังคงอ่อนแอ เช่นเดียวกับเศรษฐกิจยุโรปและญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม ความกังวลเกี่ยวกับนโยบายภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งอาจกระตุ้นเงินเฟ้อและชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจ อาจกดดันค่าเงินดอลลาร์ตลอดทั้งปี แม้ทรัมป์จะระบุว่า ภาษีบางรายการอาจไม่ได้มีผลบังคับใช้ในเดือนเมษายน ซึ่งอาจช่วยหนุนค่าเงินดอลลาร์ได้บางส่วน

ในวันพุธ แรงส่งของค่าเงินดอลลาร์เริ่มชะลอตัวเนื่องจากข้อมูลความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ อ่อนแอ และความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากมาตรการภาษีเพิ่มขึ้น โดยขณะนี้ ตลาดให้ความสนใจกับสัปดาห์หน้า ซึ่งทรัมป์คาดว่าจะประกาศหรือให้ความชัดเจนเกี่ยวกับภาษีในอุตสาหกรรมยานยนต์ เซมิคอนดักเตอร์ และเวชภัณฑ์

ทั้งนี้ แม้ว่ากิจกรรมทางธุรกิจของสหรัฐฯ จะเร่งตัวขึ้นในเดือนมีนาคม แต่ความคาดคาดหวังในอนาคตลดลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นอันดับสองนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2022 สะท้อนถึงความกังวลของภาคธุรกิจเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ ขณะที่ภาคบริการฟื้นตัวจากสภาพอากาศที่ดีขึ้น ซึ่งช่วยชดเชยการหดตัวของภาคการผลิต โดยในช่วงต้นปี บริษัทต่างๆ เร่งสั่งซื้อสินค้าเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการภาษี แต่ขณะที่การเรียกเก็บภาษีใกล้เข้ามา ธุรกิจเริ่มกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่อาจเร่งตัวขึ้นและการเติบโตที่อาจชะลอลง ในตลาดที่อยู่อาศัย ยอดขายบ้านเดี่ยวใหม่เพิ่มขึ้น 1.8% ในเดือนกุมภาพันธ์ อันเป็นผลจากอัตราดอกเบี้ยจำนองที่ลดลงและสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจอาจจำกัดการเติบโตต่อไป

ด้าน Moody’s เตือนว่าสถานะทางการคลังของสหรัฐฯ กำลังเสื่อมถอยในระยะยาว โดยชี้ให้เห็นถึงการขาดดุลงบประมาณที่ขยายตัวและภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้น หน่วยงานจัดอันดับความน่าเชื่อถือซึ่งปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตของสหรัฐฯ ลงในปี 2023 คาดการณ์ว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อ GDP จะเพิ่มขึ้นเป็น 130% ภายในปี 2035 ขณะที่ภาระดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นเป็น 30% ของรายได้ จากเดิม 9% ในปี 2021 ปัจจุบัน Moody’s เป็นหน่วยงานจัดอันดับรายใหญ่รายสุดท้ายที่ยังคงอันดับเครดิตสูงสุดของสหรัฐฯ หลังจาก Fitch และ S&P ปรับลดอันดับเนื่องจากวิกฤตเพดานหนี้ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ นักลงทุนใช้การจัดอันดับเหล่านี้ในการประเมินความเสี่ยงด้านการกู้ยืม โดยอันดับเครดิตที่ลดลงมักส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น แม้ว่าบทบาทของดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินหลักของโลกจะช่วยสนับสนุนอันดับเครดิตของสหรัฐฯ แต่ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากมาตรการภาษีและนโยบายลดภาษีโดยไม่มีแหล่งรายได้มาทดแทนยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ

ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (1H) CFD EUR/USD

แนวต้านสำคัญ : 1.0795, 1.0797, 1.0801

แนวรับสำคัญ : 1.0787, 1.0785, 1.0781                      

1H Outlook      

บทวิเคราะห์ EUR/USD ที่มา: TradingView                                                   

Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 1.0781 - 1.0787 แต่ไม่สามารถทะลุแนวรับที่ 1.0787 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.0797 และ SL ที่ประมาณ 1.0778 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Buy/Long 2 หากสามารถทะลุแนวต้านที่ช่วงราคา 1.0795 - 1.0801 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.0809 และ SL ที่ประมาณ 1.0784 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้                 

Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 1.0795 - 1.0801 แต่ไม่สามารถทะลุแนวต้านที่ 1.0795 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.0787 และ SL ที่ประมาณ 1.0804 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Sell/Short 2 หากสามารถทะลุแนวรับที่ช่วงราคา 1.0781 - 1.0787 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.0775 และ SL ที่ประมาณ 1.0798 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Pivot Points Mar 26, 2025 09:10AM GMT+7

Name
S3
S2
S1
Pivot Points
R1
R2
R3
Classic 1.0777 1.0781 1.0787 1.0791 1.0797 1.0801 1.0807
Fibonacci 1.0781 1.0785 1.0787 1.0791 1.0795 1.0797 1.0801
Camarilla 1.0791 1.0792 1.0793 1.0791 1.0795 1.0796 1.0797
Woodie's 1.0779 1.0782 1.0789 1.0792 1.0799 1.0802 1.0809
DeMark's - - 1.079 1.0792 1.0799 - -

ที่มา: Investing 1Investing 2

______________________________
อัพเกรดความรู้เพิ่มเติม: คลิกที่นี่
รู้เท่าทันสถานการณ์โลกและบทวิเคราะห์เทคนิคขั้นสูง: คลิกที่นี่
Tags:

TECHNICAL ANALYSIS

ARTICLES