บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ วันที่ 1 เมษายน 2568

Create at 1 day ago (Apr 01, 2025 10:03)

ตลาดร่วง ทองคำพุ่งสูงสุด กังวลภาษีกระตุ้นความผันผวน

ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง ขณะที่ราคาทองคำพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีศุลกากรในวงกว้าง ซึ่งสร้างความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าโลกและภาวะเศรษฐกิจถดถอย แม้ว่าตลาดวอลล์สตรีทจะร่วงลงในช่วงแรก แต่ดัชนีดาวโจนส์และ S&P 500 ปรับตัวขึ้นปิดบวกจากแรงหนุนในหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐาน การเงิน วัสดุ และพลังงาน ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดลบเล็กน้อย โดยดัชนีหลักทั้งสามล้วนบันทึกผลขาดทุนทั้งในระดับรายเดือนและรายไตรมาส

นักลงทุนยังคงระมัดระวังขณะที่วันที่ 2 เมษายนใกล้เข้ามา ซึ่งคาดว่าทรัมป์จะประกาศมาตรการภาษีรอบใหม่ที่มุ่งเป้าไปยังอย่างน้อย 15 ประเทศ รายงานระบุว่าอาจมีการกำหนดภาษีแบบคงที่ 20% สำหรับทุกประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้า หลังจากที่มาตรการล่าสุดของทรัมป์ที่กำหนดภาษี 25% สำหรับการนำเข้ารถยนต์ที่ไม่ได้ผลิตในสหรัฐฯ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 3 เมษายน โดยโฆษกทำเนียบขาว คาร์โรไลน์ ลีวิตต์ ยืนยันว่าภาษีเหล่านี้จะกำหนดตามประเทศเป็นหลัก ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ยังคงมุ่งมั่นที่จะเรียกเก็บภาษีเฉพาะเจาะจงกับอุตสาหกรรมสำคัญบางแห่ง

ขณะเดียวกัน ความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อและการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ซบเซาทำให้ตลาดผันผวนมากขึ้น โดยนักลงทุนจับตาดูรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันศุกร์ ซึ่งคาดว่าจะสะท้อนการชะลอตัวของการจ้างงาน ขณะที่นักวิเคราะห์เตือนว่าภาวะ Stagflation อาจส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัท และแรงกดดันด้านเงินเฟ้ออาจทำให้มูลค่าหุ้นลดลง

ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่านโยบายอาจเป็นปัจจัยกระตุ้นเงินเฟ้อและขัดขวางการเติบโตทางเศรษฐกิจ Goldman Sachs ได้เพิ่มโอกาสที่สหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยเป็น 35% จากเดิม 20% เนื่องจากอุปสรรคทางการค้าที่เพิ่มขึ้นและความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่ลดลง รวมถึงคาดการณ์ว่าอัตราภาษีจะเพิ่มขึ้นเป็น 15% ภายในปี 2025 และจะผลักดันอัตราเงินเฟ้อ PCE พื้นฐานให้สูงขึ้นเป็น 3.5% ซึ่งเกินกว่าเป้าหมาย 2% ของธนาคารกลางสหรัฐฯ โดยนักวิเคราะห์ยังคาดการณ์ว่าการเติบโตของ GDP จะชะลอตัวลงเหลือเพียง 1% ในปีหน้า

ตลาดหุ้นเริ่มแสดงความผันผวนจากการคาดการณ์ถึงมาตรการภาษีเหล่านี้ โดยดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ทำผลงานรายไตรมาสได้แย่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2022 โดยดัชนี S&P 500 ลดลง 4.6% ในไตรมาสแรก ขณะที่ Nasdaq ร่วง 10.5% และดาวโจนส์ลดลง 1.3% กลุ่มหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำ "Magnificent Seven" ซึ่งเคยเป็นแรงผลักดันของตลาด ต่างเผชิญแรงขายหนัก โดย Tesla ร่วงลงเกือบ 36% และ Nvidia ลดลง 20% อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้น 9.3% ในไตรมาสนี้ ในขณะที่หุ้นกลุ่มการเงินทำผลงานได้ดีกว่า ดันให้ Discover Financial Services และ Capital One ปรับตัวขึ้นจากกระแสข่าวการควบรวมกิจการ

ด้าน Tesla คาดว่าจะรายงานตัวเลขการส่งมอบรถยนต์ในไตรมาสแรกของปีนี้ โดยมีการคาดการณ์ว่าตัวเลขจะลดลง 7% เนื่องจากแรงกดดันจากปฏิกิริยาต่อต้านของตลาดต่อกิจกรรมทางการเมืองของซีอีโอ อีลอน มัสก์ และการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ขณะเดียวกัน CoreWeave ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Nvidia ปรับตัวลงกว่า 7% หลัง IPO และ Moderna ร่วง 8.9% จากความกังวลด้านกฎระเบียบ ขณะที่ Rocket Companies เข้าซื้อกิจการ Mr. Cooper Group ทำให้หุ้นของ Mr. Cooper พุ่งขึ้น 14.5% แต่ส่งผลให้หุ้นของ Rocket ร่วงลง 7.4%

แม้ตลาดจะเผชิญกับความผันผวน แต่นักวิเคราะห์ชี้ว่า การปรับฐานเช่นนี้มักเกิดขึ้นก่อนที่ตลาดจะฟื้นตัว โดยดัชนี S&P 500 มีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นในไตรมาสถัดไป นักวิเคราะห์จาก BTIG ระบุว่า โดยปกติแล้ว เดือนเมษายนมักจะฟื้นตัวหลังจากเดือนมีนาคมที่ร่วงลงมากกว่า 3% โดยมีค่าเฉลี่ยการปรับตัวขึ้นที่ 5.92% และแม้ว่าจะมีความผันผวนในระยะสั้น Goldman Sachs ยังคงมองว่าดัชนี S&P 500 มีโอกาสปรับตัวขึ้น 11% ภายในสิ้นปีนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจและผลประกอบการมีแนวโน้มฟื้นตัว

อย่างไรก็ดี ความไม่แน่นอนของตลาดเพิ่มมากขึ้น เมื่อทรัมป์ขู่ว่าจะกำหนดภาษีรอบสองในอัตรา 25%-50% สำหรับประเทศที่ซื้อน้ำมันจากรัสเซีย เพื่อตอบโต้คำวิจารณ์ของประธานาธิบดีปูตินต่อประธานาธิบดียูเครน วโลดีมีร์ เซเลนสกี ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนจุดยืนของทรัมป์ หลังจากที่ก่อนหน้านี้เคยชื่นชมปูตินและวิจารณ์เซเลนสกี

ด้วยเหตุนี้ หากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าทวีความรุนแรง ดัชนีดาวโจนส์ (US30) อาจเผชิญแรงกดดันขาลง โดยมีแนวรับสำคัญที่ 41,500 และ 41,000 โดยหากราคาหลุดต่ำกว่า 41,000 อาจเกิดการปรับฐานลึกลงไปที่ 40,500 ในทางกลับกัน หากข้อมูลเศรษฐกิจ โดยเฉพาะรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนมีนาคมออกมาดีกว่าคาด และความเชื่อมั่นของนักลงทุนยังคงแข็งแกร่ง US30 อาจมีโอกาสทะลุแนวต้านที่ 42,200 ได้ โดยการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องอาจผลักดันดัชนีไปที่ 42,500 อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับมาตรการภาษีและเงินเฟ้อยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงหลัก

ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (1D) CFD US30 DJIA

แนวต้านสำคัญ : 42119.7, 42353.8, 42732.6

แนวรับสำคัญ : 41362.1, 41128.0, 40749.2               

1D Outlook

วิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มา: TradingView                                              

Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 40882.1 - 41362.1 แต่ไม่สามารถเบรกแนวรับที่ 41362.1 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 42327.8 และ SL ที่ประมาณ 40642.1 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Buy/Long 2 หากสามารถเบรกแนวต้านที่ช่วงราคา 42119.7 - 42599.7 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 43115.0 และ SL ที่ประมาณ 41122.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้                 

Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 42119.7 - 42599.7 แต่ไม่สามารถเบรกแนวต้านที่ 42119.7 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 41336.1 และ SL ที่ประมาณ 42839.7 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Sell/Short 2 หากสามารถเบรกแนวรับที่ช่วงราคา 40882.1 - 41362.1 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 40480.0 และ SL ที่ประมาณ 42360.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Pivot Points Apr 1, 2025 09:37AM GMT+7

Name
S3
S2
S1
Pivot Points
R1
R2
R3
Classic 40344.4 40749.2 41336.1 41740.9 42327.8 42732.6 43319.5
Fibonacci 40749.2 41128 41362.1 41740.9 42119.7 42353.8 42732.6
Camarilla 41650.3 41741.2 41832.1 41740.9 42013.9 42104.8 42195.7
Woodie's 40435.4 40794.7 41427.1 41786.4 42418.8 42778.1 43410.5
DeMark's - - 41538.5 41842.1 42530.2 - -

ที่มา: Investing 1Investing 2

______________________________
อัพเกรดความรู้เพิ่มเติม: คลิกที่นี่
รู้เท่าทันสถานการณ์โลกและบทวิเคราะห์เทคนิคขั้นสูง: คลิกที่นี่
Tags:

TECHNICAL ANALYSIS

ARTICLES