S&P 500 เข้าสู่ภาวะตลาดหมีจากความกังวลภาษี เขย่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ
ตลาดเริ่มต้นสัปดาห์ด้วยความวิตก หลังการขายอย่างหนักจากแรงกดดันของมาตรการภาษีที่ผลักดันดัชนี S&P 500 เข้าสู่ภาวะตลาดหมี โดยดัชนีร่วงลงถึง 10% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นสัปดาห์ที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ปี 2020 และลดลงมากกว่า 20% จากจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ดัชนี Dow Jones และ Nasdaq ต่างปรับตัวลดลงตาม โดย Nasdaq ได้เข้าสู่ตลาดหมีเช่นกัน ขณะที่การซื้อขายในวันจันทร์มีความผันผวนสูง โดยดัชนีเปิดตลาดในแดนลบอย่างรุนแรง จากนั้นดีดตัวขึ้นเล็กน้อยจากข่าวลือเรื่องการระงับภาษี 90 วัน ก่อนกลับมาร่วงอีกครั้งหลังทำเนียบขาวออกมาปฏิเสธว่าเป็น “ข่าวปลอม”
ด้านความเชื่อมั่นของนักลงทุนทรุดตัว หลังจีนตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีกับสหรัฐฯ และประธานาธิบดีทรัมป์ยกระดับจุดยืนเชิงรุกด้วยการขู่ขึ้นภาษีเพิ่มเติมหากข้อเรียกร้องไม่ถูกตอบสนอง โดยมีการเตรียมบังคับใช้รอบใหม่ในวันที่ 9 เมษายน ทำให้ความกังวลเรื่องภาวะถดถอยทวีความรุนแรงขึ้น
ดัชนีความผันผวน CBOE (VIX) พุ่งทะลุระดับ 60 ระหว่างวัน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2024 สะท้อนถึงความตื่นตระหนกในตลาด Goldman Sachs ปรับเพิ่มโอกาสเกิดภาวะถดถอยในสหรัฐฯ ปี 2025 เป็น 45% ขณะที่ JPMorgan คาดว่าความเสี่ยงการถดถอยทั่วโลกอยู่ที่ 60% ทั้งสองสถาบันเตือนว่ามาตรการภาษีของทรัมป์เปรียบเสมือนการขึ้นภาษี GDP 2.4% ซึ่งถือว่าสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1968 ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวลดลง เนื่องจากตลาดคาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ยของเฟดสูงสุดถึง 5 ครั้งในปีนี้
ด้านผลตอบแทนของแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมมีความผันผวนและหลากหลาย กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ร่วงลง 2.4% ซึ่งเป็นกลุ่มที่แย่ที่สุดในวันจันทร์ ขณะที่กลุ่มบริการสื่อสารบวกขึ้น 1% ท่ามกลางหุ้นเทคโนโลยีที่เป็นจุดโฟกัสสำคัญ โดย Apple ร่วง 3.7% และลดลงเกือบ 30% ตั้งแต่ต้นปีจากความเสี่ยงที่เชื่อมโยงกับจีน Tesla ลดลง 2.6% หลังถูกนักวิเคราะห์หั่นเป้าหมายราคา โดย Wedbush ปรับลดราคาเป้าหมายลงจาก 550 ดอลลาร์เป็น 315 ดอลลาร์ ด้าน Nvidia พุ่งขึ้น 3.5% Amazon เพิ่มขึ้น 2.5% และ Broadcom กระโดดขึ้น 5.4% กลายเป็นแสงสว่างที่หายากของกลุ่มเทค
ทั้งนี้ Wedbush ปรับลดราคาเป้าหมายของ Apple เหลือ $250 โดยเตือนถึงความเปราะบางจากการที่ 90% ของ iPhone ถูกประกอบในจีน ขณะที่ภาษีนำเข้าจากจีนอยู่ที่ 54% และจากไต้หวัน 32% ท่ามกลางการย้ายฐานการผลิตเพียง 10% ไปยังสหรัฐฯ อาจใช้เวลาหลายปีและมีต้นทุนสูงถึง $30,000 ล้าน
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังยกระดับความตึงเครียดผ่าน Truth Social โดยขู่เก็บภาษีเพิ่มเติมอีก 50% ต่อสินค้าจีน หากจีนไม่ยกเลิกมาตรการตอบโต้ภายในวันที่ 8 เมษายน พร้อมกล่าวว่านักลงทุนต้อง “กินยาขมนี้ให้ได้” และยืนกรานไม่เลื่อนการใช้ภาษี แม้ตลาดจะผันผวนหนัก ด้านรัฐมนตรีคลัง Scott Bessent ส่งสัญญาณว่าอาจมีช่องให้เจรจา โดยเผยว่ามีมากกว่า 50 ประเทศที่ร้องขอเจรจากับสหรัฐฯ
อย่างไรก็ดี JPMorgan ปรับลดเป้าหมายดัชนี S&P 500 สิ้นปีเหลือ 5,200 พร้อมตั้งสมมติฐานขาลงที่ 4,000 โดยคาดว่า GDP สหรัฐฯ จะหดตัว 0.3% ในปี 2025 และอัตราการว่างงานจะเพิ่มขึ้น บริษัทเตือนว่าอัตราภาษีเฉลี่ยอาจพุ่งจาก 3% เป็น 19% ซึ่งจะบีบกำไรของบริษัทอย่างรุนแรง ขณะที่ Deutsche Bank เปรียบเทียบความปั่นป่วนครั้งนี้กับการล่มสลายของระบบ Bretton Woods และเตือนว่าอาจเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก
อีกด้าน ทรัมป์ได้ขยายเส้นตายให้ ByteDance ขายกิจการ TikTok ในสหรัฐฯ ออกไปอีก 75 วัน โดยผูกดีลนี้เข้ากับการเจรจาการค้ากับจีน ขณะที่บริษัทที่แสดงความสนใจซื้อกิจการได้แก่ Amazon, Oracle และ Applovin
ปัจจุบัน นักลงทุนกำลังจับตาข้อมูลเงินเฟ้อและถ้อยแถลงของเฟดอย่างใกล้ชิด เพื่อดูแนวโน้มของนโยบายการเงิน โดยรายงาน CPI ในวันพฤหัสบดีนี้ถือว่ามีความสำคัญสูง ซึ่ง Barclays คาดว่าตัวเลขในเดือนมีนาคมจะไม่รุนแรง แต่เตือนว่าอัตราเงินเฟ้ออาจพุ่งขึ้นอย่างมากในช่วงปลายปี จากผลกระทบของมาตรการภาษีในวันที่ 2 เมษายน ซึ่งเริ่มส่งแรงสั่นสะเทือนผ่านห่วงโซ่อุปทาน โดยเฟดอาจต้องเผชิญความซับซ้อนในการลดดอกเบี้ย หากแรงกดดันเงินเฟ้อและเศรษฐกิจชะลอตัวปรากฏพร้อมกัน
ทั้งนี้ ฤดูกาลประกาศผลประกอบการจะเริ่มในสัปดาห์นี้ โดยมีบริษัทการเงินใหญ่หลายแห่งรายงานผล ได้แก่ JPMorgan, Morgan Stanley, Wells Fargo และ BlackRock รวมถึงบริษัทค้าปลีกอย่าง Levi Strauss และ Walgreens ตลอดจนสายการบิน Delta อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่า แม้ผลประกอบการจะออกมาดี ก็อาจไม่เพียงพอชดเชยความไม่แน่นอนด้านการค้าระหว่างประเทศที่กำลังปกคลุมตลาดอยู่ในขณะนี้
ด้วยเหตุนี้ ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้สำหรับดัชนี US500 ในขณะนี้มีตั้งแต่ระดับแย่ที่สุดที่ 4,000 จุด หากไม่มีการผ่อนปรนภาษีนำเข้าและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ยืดเยื้อ ระดับพื้นฐานที่ 5,200 จุด หากมีการผ่อนปรนบางส่วนและสามารถควบคุมความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยได้ ไปจนถึงระดับดีที่สุดที่ 5,800 จุด หากการเจรจาการค้ามีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญและเฟดสัญญาณใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย อย่างไรก็ตาม แรงกดดันขาลงยังคงรุนแรงจากการที่ทรัมป์ขู่จะเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มเติม ขณะที่ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อทวีความรุนแรงขึ้นตามต้นทุนการนำเข้าที่เพิ่มสูง แม้ฤดูกาลประกาศผลประกอบการอาจช่วยพยุงตลาดในระยะสั้น แต่หากแรงกดดันจากปัจจัยมหภาคยังไม่คลี่คลาย ตลาดก็อาจยังคงผันผวน โดยระดับ 4,000 จุดอาจเกิดขึ้นได้ หากการเจรจาก่อนวันที่ 9 เมษายนล้มเหลวหรือหยุดชะงัก
ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (1D) CFD US 500 [S&P 500]
แนวต้านสำคัญ : 5226.3, 5330.5, 5499.1
แนวรับสำคัญ : 4889.1, 4784.9, 4616.3
1D Outlook
ที่มา: TradingView
Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 4809.1 - 4889.1 แต่ไม่สามารถเบรกแนวรับที่ 4889.1 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 5307.0 และ SL ที่ประมาณ 4769.1 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Buy/Long 2 หากสามารถเบรกแนวต้านที่ช่วงราคา 5226.3 - 5306.3 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 5748.4 และ SL ที่ประมาณ 4849.1 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 5226.3 - 5306.3 แต่ไม่สามารถเบรกแนวต้านที่ 5226.3 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 4865.6 และ SL ที่ประมาณ 5346.3 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Sell/Short 2 หากสามารถเบรกแนวรับที่ช่วงราคา 4809.1 - 4889.1 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 4424.2 และ SL ที่ประมาณ 5266.3 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Pivot Points Apr 8, 2025 10:34AM GMT+7
Name
|
S3
|
S2
|
S1
|
Pivot Points
|
R1
|
R2
|
R3
|
---|---|---|---|---|---|---|---|
Classic | 4424.2 | 4616.3 | 4865.6 | 5057.7 | 5307 | 5499.1 | 5748.4 |
Fibonacci | 4616.3 | 4784.9 | 4889.1 | 5057.7 | 5226.3 | 5330.5 | 5499.1 |
Camarilla | 4993.6 | 5034.1 | 5074.5 | 5057.7 | 5155.5 | 5195.9 | 5236.4 |
Woodie's | 4452.8 | 4630.6 | 4894.2 | 5072 | 5335.6 | 5513.4 | 5777 |
DeMark's | - | - | 4961.7 | 5105.8 | 5403.1 | - | - |
ที่มา: Investing 1, Investing 2
อัพเกรดความรู้เพิ่มเติม: คลิ