วอลล์สตรีทพุ่งแรงท่ามกลางความผันผวนภาษี เทคโนโลยี-งบไตรมาสหนุนตลาด
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดสัปดาห์ที่แล้วด้วยทิศทางที่แข็งแกร่ง หลังจากเผชิญกับหนึ่งในสัปดาห์ที่มีความผันผวนสูงที่สุด ตลาดเคลื่อนไหวรุนแรงในช่วงต้นสัปดาห์ เนื่องจากท่าทีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน อย่างไรก็ดี ตลาดฟื้นตัวอย่างรวดเร็วในช่วงปลายสัปดาห์หลังทำเนียบขาวส่งสัญญาณเชิงบวกเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการบรรลุข้อตกลงทางการค้า โดยเมื่อวันศุกร์ ทรัมป์ได้แสดงความหวังว่าจีนจะดำเนินการในทิศทางที่มุ่งสู่การทำข้อตกลง ส่งผลให้ตลาดปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงท้ายการซื้อขาย
แม้ในช่วงต้นสัปดาห์จะเกิดแรงเทขายอย่างรุนแรง แต่ดัชนีสำคัญทั้งสามดัชนีก็ปิดบวกในรายสัปดาห์ได้อย่างแข็งแกร่ง โดย S&P 500 พุ่งขึ้น 5.7% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2023 ขณะที่ Nasdaq กระโดดขึ้น 7.3% ถือเป็นผลงานดีที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2022 และดัชนี Dow Jones เพิ่มขึ้นเกือบ 5%
ทั้งนี้ ตลาดเปิดสัปดาห์ใหม่ในเชิงบวก เนื่องจากนักลงทุนมีความโล่งใจจากการได้รับการยกเว้นชั่วคราวจากภาษีนำเข้าสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น สมาร์ตโฟนและคอมพิวเตอร์ จากภาษีตอบโต้กลับของทรัมป์ที่สูงถึง 145% ต่อสินค้านำเข้าจากจีน ขณะที่ทรัมป์ยังแย้มว่า ภาษีสำหรับเซมิคอนดักเตอร์อาจถูกบังคับใช้ตามมา แต่การยกเว้นชั่วคราวในครั้งนี้ช่วยบรรเทาความกังวลได้อย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีที่มีความเชื่อมโยงกับตลาดจีน
โดยในช่วงสายของวันจันทร์ ดัชนีหุ้นหลักของสหรัฐฯ ต่างปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยดัชนี Dow เพิ่มขึ้นกว่า 400 จุด S&P 500 ขยับขึ้น 1.34% และ Nasdaq บวก 1.68% กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นผู้นำในการปรับตัวขึ้นของภาคส่วน โดยปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.3% ทั้งนี้ ความผันผวนในตลาดยังคงอยู่ในระดับสูง แม้ว่าดัชนีความผันผวน CBOE (VIX) จะลดลงเล็กน้อยจากระดับสูงสุดในรอบแปดเดือนที่ผ่านมา
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังคงเป็นจุดสนใจหลักหลังจากการประกาศภาษีของทรัมป์ Apple (AAPL) เป็นผู้นำการปรับตัวในกลุ่มหุ้นเมกะแคป โดยราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 5.4% ในวันจันทร์ หลังนักลงทุนตอบรับเชิงบวกต่อข่าวที่ว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทจะไม่ถูกเก็บภาษีลงโทษอย่างน้อยในระยะนี้ ขณะที่ Tesla (TSLA) ได้รับผลเชิงบวกเช่นกันจากความไม่แน่นอนด้านการค้าที่ลดลง ท่ามกลาง HP (HPQ) ที่ปรับตัวขึ้น 4% และ Best Buy (BBY) ที่เพิ่มขึ้น 5% จากความคาดหวังว่าต้นทุนการนำเข้าที่ลดลงจะช่วยกระตุ้นความต้องการสินค้าไอที ขณะที่หุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิปตอบสนองในทิศทางเดียวกัน โดยดัชนี Philadelphia Semiconductor เพิ่มขึ้น 1.1%
ด้านบริษัทผู้ผลิตยาลดความอ้วนปรับตัวขึ้นเช่นกัน หลังจาก Pfizer (NYSE:PFE) ประกาศยุติการพัฒนาเม็ดยาลดน้ำหนักแบบทดลอง ส่งผลให้ Eli Lilly (NYSE:LLY) ขยับขึ้น 1% และ Viking Therapeutics (NASDAQ:VKTX) พุ่งขึ้นถึง 13%
อีกด้าน Goldman Sachs (NYSE:GS) รายงานกำไรไตรมาสแรกเพิ่มขึ้น 15% จากรายได้ในธุรกิจซื้อขายหุ้นที่ทำสถิติสูงสุด ท่ามกลางสภาวะตลาดที่ผันผวน ผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาดนี้ส่งผลให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 2% อย่างไรก็ตาม ซีอีโอ David Solomon เตือนถึงสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ท้าทาย และผลกระทบด้านลบจากภาษีต่อทั้งตลาดและกิจกรรมการทำธุรกรรมทางธุรกิจ ด้านธุรกิจธนาคารเพื่อการลงทุนของ Goldman มีความอ่อนแอ โดยกิจกรรม IPO และการควบรวมกิจการยังคงซบเซา
ธนาคารคู่แข่งอย่าง JPMorgan Chase (NYSE:JPM) และ Morgan Stanley (NYSE:MS) ต่างรายงานผลกำไรที่แข็งแกร่งเช่นกัน แต่ยังคงแสดงความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงจากนโยบายภาษี Morgan Stanley ยังคงมองสถานการณ์ด้วยความระมัดระวัง โดยเชื่อว่าสหรัฐฯ อาจหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยได้ แต่อุปสรรคจากการชะลอตัวของกำไรและความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยยังคงเป็นประเด็นสำคัญ
สัปดาห์นี้ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับการรายงานผลประกอบการ โดยมีบริษัทใหญ่อย่าง Johnson & Johnson (NYSE:JNJ), Bank of America (NYSE:BAC), Citigroup (NYSE:C) และ United Airlines (NASDAQ:UAL) เตรียมเปิดเผยผลดำเนินงาน ขณะที่ Wells Fargo (NYSE:WFC) ซึ่งได้รายงานผลประกอบการออกมาดีกว่าคาด ได้ประกาศขยายแผนกธุรกิจธนาคารด้านเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น 20% โดยให้เหตุผลว่าภาคส่วนนี้ยังคงมีโมเมนตัมที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม ขณะที่ Netflix (NASDAQ:NFLX) อยู่ในกำหนดการรายงานผลประกอบการในสัปดาห์นี้เช่นกัน
ทั้งนี้ นักกลยุทธ์ยังคงมีมุมมองที่แตกต่างกันต่อแนวโน้มตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดย Citigroup (NYSE:C) ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ จาก "overweight" เป็น "neutral"และลดเป้าหมายดัชนี S&P 500 สิ้นปีเหลือ 5,800 จุด จากเดิมที่ 6,500 จุด โดยอ้างถึงแรงกดดันต่อกำไรจากภาษีนำเข้า พร้อมกันนี้ยังได้ปรับลดประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) จากความไม่แน่นอนในภาวะเศรษฐกิจมหภาค
ในทางตรงกันข้าม Morgan Stanley คาดว่าดัชนี S&P 500 จะเคลื่อนไหวในกรอบผันผวนที่ระดับ 5,000–5,500 จุด ขึ้นอยู่กับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาว นโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และความชัดเจนของผลประกอบการ โดยนักกลยุทธ์ชี้ว่าความเสี่ยงด้านขาลงยังมีอยู่ แต่หาก Fed มีท่าทีผ่อนคลาย (Dovish) หรือความตึงเครียดทางการค้าลดลง ก็อาจช่วยหนุนตลาดได้
ด้าน JPMorgan มองว่าอาจมีโอกาสในการเข้าซื้อหุ้นในช่วงครึ่งปีหลัง แต่เตือนว่านักลงทุนยังไม่ได้สะท้อนความเสี่ยงจากภาวะถดถอยลงในราคาหุ้นอย่างเต็มที่ โดยปัจจุบันอัตราภาษีที่มีผลบังคับใช้ของสหรัฐฯ เฉลี่ยอยู่ที่ 23% ขณะที่มูลค่าหุ้นยังคงอยู่ในระดับสูง แม้ว่าจะมีการปรับฐานลงมาแล้วราว 13% จากจุดสูงสุดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ JPMorgan แนะนำให้นักลงทุนเน้นลงทุนในกลุ่มที่มีความปลอดภัยสูง เช่น กลุ่มสาธารณสุข (Healthcare) และสาธารณูปโภค (Utilities) และหลีกเลี่ยงหุ้นเทคโนโลยีที่มีความผันผวนสูง (High-beta) จนกว่าจะมีความชัดเจนด้านนโยบายมากกว่านี้
ทั้งนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เตือนในรายงาน “Global Financial Stability Report” ฉบับที่จะออกในเร็วๆ นี้ว่า ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นภาษี สงคราม หรือความขัดแย้งทางการทูต ล้วนเป็นภัยคุกคามสำคัญต่อเสถียรภาพของตลาดการเงินโลก โดยเหตุการณ์เหล่านี้สามารถส่งผลให้ตลาดหุ้นในประเทศตลาดเกิดใหม่ปรับตัวลดลงเฉลี่ยรายเดือนสูงถึง 5% นอกจากนี้ IMF ยังระบุว่าความน่าจะเป็นที่จะเกิดการขาดทุนรุนแรงในตลาด หรือที่เรียกว่า “Tail Risks” กำลังเพิ่มขึ้น และเรียกร้องให้สถาบันการเงินทำการทดสอบความเครียด (Stress Test) กับพอร์ตลงทุนอย่างเหมาะสม
นโยบายภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์คาดว่าจะเป็นหัวข้อหลักในการประชุมฤดูใบไม้ผลิของ IMF และธนาคารโลกที่จะมีขึ้นในเร็วๆ นี้ โดยรัฐมนตรีพาณิชย์ Howard Lutnick ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าสินค้าที่ได้รับการยกเว้นภาษีในปัจจุบัน อาจถูกเรียกเก็บภาษีภายในสองเดือนข้างหน้า โดยสินค้ากลุ่มนี้มีสัดส่วนประมาณ 20% ของสินค้านำเข้าจากจีนมายังสหรัฐฯ
ปัจจุบัน นักลงทุนกำลังจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่จะประกาศในเร็วๆ นี้ โดยเฉพาะตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมและยอดค้าปลีกประจำเดือนมีนาคม ซึ่งการคาดการณ์จีดีพีไตรมาสแรกยังคงอยู่ในเกณฑ์อ่อนแอหรืออาจติดลบ อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์เชื่อว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่แข็งแกร่ง ซึ่งได้แรงหนุนจากการเร่งซื้อสินค้าก่อนภาษีมีผล อาจช่วยพยุงไม่ให้จีดีพีหดตัวได้ในระยะสั้น
ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (30Min) CFD US30 DJIA
แนวต้านสำคัญ : 40494.80, 40549.54, 40638.15
แนวรับสำคัญ : 40317.58, 40262.84, 40174.23
30Min Outlook
ที่มา: TradingView
Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 40217.58 - 40317.58 แต่ไม่สามารถเบรกแนวรับที่ 40317.58 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 40534.17 และ SL ที่ประมาณ 40167.58 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Buy/Long 2 หากสามารถเบรกแนวต้านที่ช่วงราคา 40494.80 - 40594.80 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 40766.13 และ SL ที่ประมาณ 40267.58 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 40494.80 - 40594.80 แต่ไม่สามารถเบรกแนวต้านที่ 40494.80 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 40302.21 และ SL ที่ประมาณ 40644.80 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Sell/Short 2 หากสามารถเบรกแนวรับที่ช่วงราคา 40217.58 - 40317.58 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 40070.25 และ SL ที่ประมาณ 40544.80 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Pivot Points Apr 15, 2025 12:33AM GMT+7
Name
|
S3
|
S2
|
S1
|
Pivot Points
|
R1
|
R2
|
R3
|
---|---|---|---|---|---|---|---|
Classic | 40070.25 | 40174.23 | 40302.21 | 40406.19 | 40534.17 | 40638.15 | 40766.13 |
Fibonacci | 40174.23 | 40262.84 | 40317.58 | 40406.19 | 40494.8 | 40549.54 | 40638.15 |
Camarilla | 40366.4 | 40387.67 | 40408.93 | 40406.19 | 40451.45 | 40472.72 | 40493.98 |
Woodie's | 40082.25 | 40180.23 | 40314.21 | 40412.19 | 40546.17 | 40644.15 | 40778.13 |
DeMark's | - | - | 40354.2 | 40432.19 | 40586.16 | - | - |
ที่มา: Investing 1, Investing 2
อัพเกรดความรู้เพิ่มเติม: คลิ