บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ วันที่ 15 เมษายน 2568

Create at 2 days ago (Apr 15, 2025 01:02)

วอลล์สตรีทพุ่งแรงท่ามกลางความผันผวนภาษี เทคโนโลยี-งบไตรมาสหนุนตลาด

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดสัปดาห์ที่แล้วด้วยทิศทางที่แข็งแกร่ง หลังจากเผชิญกับหนึ่งในสัปดาห์ที่มีความผันผวนสูงที่สุด ตลาดเคลื่อนไหวรุนแรงในช่วงต้นสัปดาห์ เนื่องจากท่าทีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน อย่างไรก็ดี ตลาดฟื้นตัวอย่างรวดเร็วในช่วงปลายสัปดาห์หลังทำเนียบขาวส่งสัญญาณเชิงบวกเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการบรรลุข้อตกลงทางการค้า โดยเมื่อวันศุกร์ ทรัมป์ได้แสดงความหวังว่าจีนจะดำเนินการในทิศทางที่มุ่งสู่การทำข้อตกลง ส่งผลให้ตลาดปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงท้ายการซื้อขาย

แม้ในช่วงต้นสัปดาห์จะเกิดแรงเทขายอย่างรุนแรง แต่ดัชนีสำคัญทั้งสามดัชนีก็ปิดบวกในรายสัปดาห์ได้อย่างแข็งแกร่ง โดย S&P 500 พุ่งขึ้น 5.7% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2023 ขณะที่ Nasdaq กระโดดขึ้น 7.3% ถือเป็นผลงานดีที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2022 และดัชนี Dow Jones เพิ่มขึ้นเกือบ 5%

ทั้งนี้ ตลาดเปิดสัปดาห์ใหม่ในเชิงบวก เนื่องจากนักลงทุนมีความโล่งใจจากการได้รับการยกเว้นชั่วคราวจากภาษีนำเข้าสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น สมาร์ตโฟนและคอมพิวเตอร์ จากภาษีตอบโต้กลับของทรัมป์ที่สูงถึง 145% ต่อสินค้านำเข้าจากจีน ขณะที่ทรัมป์ยังแย้มว่า ภาษีสำหรับเซมิคอนดักเตอร์อาจถูกบังคับใช้ตามมา แต่การยกเว้นชั่วคราวในครั้งนี้ช่วยบรรเทาความกังวลได้อย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีที่มีความเชื่อมโยงกับตลาดจีน

โดยในช่วงสายของวันจันทร์ ดัชนีหุ้นหลักของสหรัฐฯ ต่างปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยดัชนี Dow เพิ่มขึ้นกว่า 400 จุด S&P 500 ขยับขึ้น 1.34% และ Nasdaq บวก 1.68% กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นผู้นำในการปรับตัวขึ้นของภาคส่วน โดยปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.3% ทั้งนี้ ความผันผวนในตลาดยังคงอยู่ในระดับสูง แม้ว่าดัชนีความผันผวน CBOE (VIX) จะลดลงเล็กน้อยจากระดับสูงสุดในรอบแปดเดือนที่ผ่านมา

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังคงเป็นจุดสนใจหลักหลังจากการประกาศภาษีของทรัมป์ Apple (AAPL) เป็นผู้นำการปรับตัวในกลุ่มหุ้นเมกะแคป โดยราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 5.4% ในวันจันทร์ หลังนักลงทุนตอบรับเชิงบวกต่อข่าวที่ว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทจะไม่ถูกเก็บภาษีลงโทษอย่างน้อยในระยะนี้ ขณะที่ Tesla (TSLA) ได้รับผลเชิงบวกเช่นกันจากความไม่แน่นอนด้านการค้าที่ลดลง ท่ามกลาง HP (HPQ) ที่ปรับตัวขึ้น 4% และ Best Buy (BBY) ที่เพิ่มขึ้น 5% จากความคาดหวังว่าต้นทุนการนำเข้าที่ลดลงจะช่วยกระตุ้นความต้องการสินค้าไอที ขณะที่หุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิปตอบสนองในทิศทางเดียวกัน โดยดัชนี Philadelphia Semiconductor เพิ่มขึ้น 1.1%

ด้านบริษัทผู้ผลิตยาลดความอ้วนปรับตัวขึ้นเช่นกัน หลังจาก Pfizer (NYSE:PFE) ประกาศยุติการพัฒนาเม็ดยาลดน้ำหนักแบบทดลอง ส่งผลให้ Eli Lilly (NYSE:LLY) ขยับขึ้น 1% และ Viking Therapeutics (NASDAQ:VKTX) พุ่งขึ้นถึง 13%

อีกด้าน Goldman Sachs (NYSE:GS) รายงานกำไรไตรมาสแรกเพิ่มขึ้น 15% จากรายได้ในธุรกิจซื้อขายหุ้นที่ทำสถิติสูงสุด ท่ามกลางสภาวะตลาดที่ผันผวน ผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาดนี้ส่งผลให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 2% อย่างไรก็ตาม ซีอีโอ David Solomon เตือนถึงสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ท้าทาย และผลกระทบด้านลบจากภาษีต่อทั้งตลาดและกิจกรรมการทำธุรกรรมทางธุรกิจ ด้านธุรกิจธนาคารเพื่อการลงทุนของ Goldman มีความอ่อนแอ โดยกิจกรรม IPO และการควบรวมกิจการยังคงซบเซา

ธนาคารคู่แข่งอย่าง JPMorgan Chase (NYSE:JPM) และ Morgan Stanley (NYSE:MS) ต่างรายงานผลกำไรที่แข็งแกร่งเช่นกัน แต่ยังคงแสดงความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงจากนโยบายภาษี Morgan Stanley ยังคงมองสถานการณ์ด้วยความระมัดระวัง โดยเชื่อว่าสหรัฐฯ อาจหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยได้ แต่อุปสรรคจากการชะลอตัวของกำไรและความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยยังคงเป็นประเด็นสำคัญ

สัปดาห์นี้ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับการรายงานผลประกอบการ โดยมีบริษัทใหญ่อย่าง Johnson & Johnson (NYSE:JNJ), Bank of America (NYSE:BAC), Citigroup (NYSE:C) และ United Airlines (NASDAQ:UAL) เตรียมเปิดเผยผลดำเนินงาน ขณะที่ Wells Fargo (NYSE:WFC) ซึ่งได้รายงานผลประกอบการออกมาดีกว่าคาด ได้ประกาศขยายแผนกธุรกิจธนาคารด้านเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น 20% โดยให้เหตุผลว่าภาคส่วนนี้ยังคงมีโมเมนตัมที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม ขณะที่ Netflix (NASDAQ:NFLX) อยู่ในกำหนดการรายงานผลประกอบการในสัปดาห์นี้เช่นกัน

ทั้งนี้ นักกลยุทธ์ยังคงมีมุมมองที่แตกต่างกันต่อแนวโน้มตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดย Citigroup (NYSE:C) ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ จาก "overweight" เป็น "neutral"และลดเป้าหมายดัชนี S&P 500 สิ้นปีเหลือ 5,800 จุด จากเดิมที่ 6,500 จุด โดยอ้างถึงแรงกดดันต่อกำไรจากภาษีนำเข้า พร้อมกันนี้ยังได้ปรับลดประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) จากความไม่แน่นอนในภาวะเศรษฐกิจมหภาค

ในทางตรงกันข้าม Morgan Stanley คาดว่าดัชนี S&P 500 จะเคลื่อนไหวในกรอบผันผวนที่ระดับ 5,000–5,500 จุด ขึ้นอยู่กับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาว นโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และความชัดเจนของผลประกอบการ โดยนักกลยุทธ์ชี้ว่าความเสี่ยงด้านขาลงยังมีอยู่ แต่หาก Fed มีท่าทีผ่อนคลาย (Dovish) หรือความตึงเครียดทางการค้าลดลง ก็อาจช่วยหนุนตลาดได้

ด้าน JPMorgan มองว่าอาจมีโอกาสในการเข้าซื้อหุ้นในช่วงครึ่งปีหลัง แต่เตือนว่านักลงทุนยังไม่ได้สะท้อนความเสี่ยงจากภาวะถดถอยลงในราคาหุ้นอย่างเต็มที่ โดยปัจจุบันอัตราภาษีที่มีผลบังคับใช้ของสหรัฐฯ เฉลี่ยอยู่ที่ 23% ขณะที่มูลค่าหุ้นยังคงอยู่ในระดับสูง แม้ว่าจะมีการปรับฐานลงมาแล้วราว 13% จากจุดสูงสุดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ JPMorgan แนะนำให้นักลงทุนเน้นลงทุนในกลุ่มที่มีความปลอดภัยสูง เช่น กลุ่มสาธารณสุข (Healthcare) และสาธารณูปโภค (Utilities) และหลีกเลี่ยงหุ้นเทคโนโลยีที่มีความผันผวนสูง (High-beta) จนกว่าจะมีความชัดเจนด้านนโยบายมากกว่านี้

ทั้งนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เตือนในรายงาน “Global Financial Stability Report” ฉบับที่จะออกในเร็วๆ นี้ว่า ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นภาษี สงคราม หรือความขัดแย้งทางการทูต ล้วนเป็นภัยคุกคามสำคัญต่อเสถียรภาพของตลาดการเงินโลก โดยเหตุการณ์เหล่านี้สามารถส่งผลให้ตลาดหุ้นในประเทศตลาดเกิดใหม่ปรับตัวลดลงเฉลี่ยรายเดือนสูงถึง 5% นอกจากนี้ IMF ยังระบุว่าความน่าจะเป็นที่จะเกิดการขาดทุนรุนแรงในตลาด หรือที่เรียกว่า “Tail Risks” กำลังเพิ่มขึ้น และเรียกร้องให้สถาบันการเงินทำการทดสอบความเครียด (Stress Test) กับพอร์ตลงทุนอย่างเหมาะสม

นโยบายภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์คาดว่าจะเป็นหัวข้อหลักในการประชุมฤดูใบไม้ผลิของ IMF และธนาคารโลกที่จะมีขึ้นในเร็วๆ นี้ โดยรัฐมนตรีพาณิชย์ Howard Lutnick ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าสินค้าที่ได้รับการยกเว้นภาษีในปัจจุบัน อาจถูกเรียกเก็บภาษีภายในสองเดือนข้างหน้า โดยสินค้ากลุ่มนี้มีสัดส่วนประมาณ 20% ของสินค้านำเข้าจากจีนมายังสหรัฐฯ

ปัจจุบัน นักลงทุนกำลังจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่จะประกาศในเร็วๆ นี้ โดยเฉพาะตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมและยอดค้าปลีกประจำเดือนมีนาคม ซึ่งการคาดการณ์จีดีพีไตรมาสแรกยังคงอยู่ในเกณฑ์อ่อนแอหรืออาจติดลบ อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์เชื่อว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่แข็งแกร่ง ซึ่งได้แรงหนุนจากการเร่งซื้อสินค้าก่อนภาษีมีผล อาจช่วยพยุงไม่ให้จีดีพีหดตัวได้ในระยะสั้น

ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (30Min) CFD US30 DJIA

แนวต้านสำคัญ : 40494.80, 40549.54, 40638.15

แนวรับสำคัญ : 40317.58, 40262.84, 40174.23

30Min Outlook

วิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มา: TradingView

Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 40217.58 - 40317.58 แต่ไม่สามารถเบรกแนวรับที่ 40317.58 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 40534.17 และ SL ที่ประมาณ 40167.58 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Buy/Long 2 หากสามารถเบรกแนวต้านที่ช่วงราคา 40494.80 - 40594.80 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 40766.13 และ SL ที่ประมาณ 40267.58 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้                 

Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 40494.80 - 40594.80 แต่ไม่สามารถเบรกแนวต้านที่ 40494.80 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 40302.21 และ SL ที่ประมาณ 40644.80 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Sell/Short 2 หากสามารถเบรกแนวรับที่ช่วงราคา 40217.58 - 40317.58 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 40070.25 และ SL ที่ประมาณ 40544.80 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Pivot Points Apr 15, 2025 12:33AM GMT+7

Name
S3
S2
S1
Pivot Points
R1
R2
R3
Classic 40070.25 40174.23 40302.21 40406.19 40534.17 40638.15 40766.13
Fibonacci 40174.23 40262.84 40317.58 40406.19 40494.8 40549.54 40638.15
Camarilla 40366.4 40387.67 40408.93 40406.19 40451.45 40472.72 40493.98
Woodie's 40082.25 40180.23 40314.21 40412.19 40546.17 40644.15 40778.13
DeMark's - - 40354.2 40432.19 40586.16 - -

ที่มา: Investing 1Investing 2

______________________________
อัพเกรดความรู้เพิ่มเติม: คลิกที่นี่
รู้เท่าทันสถานการณ์โลกและบทวิเคราะห์เทคนิคขั้นสูง: คลิกที่นี่
Tags:

TECHNICAL ANALYSIS

ARTICLES