ECB คาดลดดอกเบี้ย ท่ามกลางความตึงเครียดการค้าโลก
ยูโรแข็งค่าจากความคาดหวังว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25 จุดพื้นฐาน เหลือ 2.25% สะท้อนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับภาวะเงินฝืด การเติบโตทางเศรษฐกิจที่เปราะบาง และความตึงเครียดทางการค้าที่รุนแรงขึ้นกับสหรัฐฯ โดยข้อมูลเงินเฟ้อยูโรโซนประจำเดือนมีนาคมคาดว่าจะชะลอตัวลงเล็กน้อย สนับสนุนแนวโน้มการผ่อนคลายทางการเงินต่อเนื่อง
นักวิเคราะห์จาก ING และ Barclays มองว่าการลดดอกเบี้ยครั้งนี้แทบจะแน่นอน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในตลาด โดยแม้จะมีสัญญาณฟื้นตัว เช่น การผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ดีเกินคาด แต่มุมมองต่อเศรษฐกิจโดยรวมยังคงอ่อนแอ ประธาน ECB คริสติน ลาการ์ด ยังคงยึดแนวทางที่ระมัดระวัง และอิงตามข้อมูลเศรษฐกิจ พร้อมเน้นย้ำถึงความไม่แน่นอนทั่วโลก เช่น การกระตุ้นการคลังของเยอรมนีที่อาจเกิดขึ้น และนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ในเยอรมนี อัตราเงินเฟ้อชะลอลงสู่ 2.3% ในเดือนมีนาคม จาก 2.6% ในเดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ประเทศกำลังเผชิญแรงกดดันอย่างหนัก ความเชื่อมั่นของนักลงทุนร่วงลงอย่างรุนแรงในเดือนเมษายน เนื่องจากความกังวลเรื่องผลกระทบจากภาษีของสหรัฐฯ ต่ออุตสาหกรรมส่งออก เช่น สินค้าทุนและรถยนต์ แม้รัฐบาลจะอนุมัติแผนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 5 แสนล้านยูโร แต่ผลกระทบในระยะสั้นมีแนวโน้มจำกัด เพราะความขัดแย้งทางการเมืองและอุปสงค์ภายในที่ซบเซา ส่งผลให้การคาดการณ์ GDP ปี 2025 ถูกปรับลดเหลือเพียง 0.1% จากเดิม 0.8% และทำให้เยอรมนีเป็นประเทศ G7 เดียวที่ไม่มีการเติบโตติดต่อกัน 2 ปี
ผลกระทบทางเศรษฐกิจยังลุกลามสู่ยุโรปกลางและตะวันออก (CEE) โดยประเทศอย่างโปแลนด์ ฮังการี และสาธารณรัฐเช็ก ที่เชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมเยอรมนีอย่างลึกซึ้ง คาดว่าจะมีการปรับลดคาดการณ์การเติบโตปี 2025 ลง 0.4–0.6% โดยเฉพาะฮังการีที่ได้รับผลกระทบหนัก หลังจาก S&P ปรับลดแนวโน้มเครดิตลงเป็น “ลบ” เนื่องจากแรงกดดันทางการคลังและการค้า
ขณะเดียวกัน ฝรั่งเศสมีเงินเฟ้อทรงตัวที่ 0.9% ในเดือนมีนาคม หลังจากที่ลดลงต่ำกว่า 1% ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี แม้เศรษฐกิจฝรั่งเศสขยายตัว 0.2% ในไตรมาสแรก ดีกว่าที่คาดไว้เล็กน้อย แต่ความไม่แน่นอนด้านการค้ายังคงเป็นแรงกดดันสำคัญ โดยการสำรวจของธนาคารกลางพบว่า ภาคธุรกิจสินค้าหรูและอากาศยานยังแข็งแกร่ง แต่ธุรกิจส่วนใหญ่รายงานคำสั่งซื้อที่ลดลงและมีมุมมองเชิงลบต่ออนาคตอันใกล้
ในสหรัฐฯ ความเชื่อมั่นนักลงทุนอ่อนแอลง จากความตึงเครียดทางการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์ ดอลลาร์อ่อนค่าติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่สี่ เนื่องจากตลาดกังวลเกี่ยวกับการออกมาตรการภาษีที่ไม่แน่นอน โดยเฉพาะกับจีน หลังจากมาตรการภาษี 145% ของทรัมป์ต่อสินค้าจีนทำให้จีนตอบโต้ด้วยภาษี 125% และยังเปิดการสอบสวนการเก็บภาษีแร่หายากที่สำคัญ ซึ่งสร้างความกังวลด้านห่วงโซ่อุปทาน
ด้านประธานเฟด เจอโรม พาวเวลล์ ระบุว่า เศรษฐกิจชะลอตัวในไตรมาสแรก และเน้นว่าจะยังคงใช้นโยบายแบบระมัดระวังตามข้อมูล แม้เฟดยังคงมุ่งมั่นกับเป้าหมายสองประการ คือ การรักษาเสถียรภาพราคาและการจ้างงาน แต่พาวเวลล์เตือนว่าภาษีอาจผลักดันเงินเฟ้อให้สูงขึ้น ในขณะที่กดดันอุปสงค์ทางเศรษฐกิจ พร้อมทั้งปฏิเสธการแทรกแซงทันที แต่ยอมรับว่าแรงกระแทกจากการค้าคือ “การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง” ที่ทำให้นโยบายการเงินแบบเดิมใช้ได้ยากขึ้น ขณะที่ คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ผู้ว่าการเฟด ระบุว่า หากเศรษฐกิจแย่ลง อาจมีการสนับสนุนการลดดอกเบี้ยก่อนกำหนด แม้จะผลักดันให้เงินเฟ้อสูงขึ้นก็ตาม โดยตลาดยังคงคาดว่าเฟดจะเริ่มลดดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายน โดยคาดการณ์ว่าภายในสิ้นปีจะลดลงรวม 1.0% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันอยู่ที่ 4.25%-4.50%
ทั้งนี้ แม้จะมีปัญหาการค้า แต่ความต้องการพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จากต่างประเทศกลับเพิ่มขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ยอดถือครองรวมเพิ่มขึ้น 3.4% แตะ 8.817 ล้านล้านดอลลาร์ นำโดยญี่ปุ่นและจีน ซึ่งถือครองเพิ่มเป็น 1.13 ล้านล้านดอลลาร์ และ 784.3 พันล้านดอลลาร์ตามลำดับ ขณะที่ยอดเงินทุนไหลเข้าสุทธิ 284.7 พันล้านดอลลาร์ ส่วนใหญ่จากการลงทุนภาคเอกชนในตราสารหนี้ระยะยาว อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่า หากมีการขายพันธบัตรขนาดใหญ่โดยเฉพาะจากจีน อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพตลาดได้
ด้านยอดค้าปลีกในสหรัฐฯ พุ่งขึ้น 1.4% ในเดือนมีนาคม ถือเป็นการเพิ่มขึ้นรายเดือนสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี และเพิ่มขึ้น 4.6% เมื่อเทียบรายปี โดยได้รับแรงหนุนจากการซื้อกักตุนล่วงหน้าเพื่อเลี่ยงราคาที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากมาตรการภาษีใหม่ โดยเฉพาะจากยอดขายยานยนต์และสินค้าออนไลน์ อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าแนวโน้มนี้อาจเบาบางลงเมื่อมาตรการภาษีเริ่มมีผลบังคับใช้ และความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังคงอ่อนแอ
อย่างไรก็ดี แม้จะมีการระงับภาษีชั่วคราวต่อสินค้าเทคโนโลยีจากจีน แต่มาตรการภาษีโดยรวมยังคงอยู่ และคาดว่าจะมีการประกาศภาษีเพิ่มเติมต่อกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ยา และอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์อื่นๆ ทำให้ความไม่แน่นอนยังคงสูง ขณะที่นักลงทุนและผู้กำหนดนโยบายต้องเตรียมรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจที่มากขึ้น และความเสี่ยงจากภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจควบคู่กับเงินเฟ้อ
ด้วยเหตุนี้ คู่สกุล EUR/USD จึงอาจมีแนวโน้มได้รับแรงหนุนในระยะสั้น โดยมีโอกาสทดสอบกรอบ 1.14–1.15 อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนเชิงโครงสร้างที่ยังคงอยู่ในยูโรโซน ประกอบกับอุปสงค์ภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนีที่เปราะบาง และความผันผวนที่เกี่ยวข้องกับการค้า อาจเป็นปัจจัยจำกัดการแข็งค่าของ EUR/USD ให้อยู่ต่ำกว่าระดับ 1.15 โดยหากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ มีเสถียรภาพหรือฟื้นตัว EUR/USD อาจย่อตัวลงมาบริเวณ 1.1250 ได้ในระยะกลาง
ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (1D) CFD EUR/USD
แนวต้านสำคัญ : 1.1413, 1.1445, 1.1495
แนวรับสำคัญ : 1.1313, 1.1281, 1.1231
1D Outlook
ที่มา: TradingView
Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 1.1233 - 1.1313 แต่ไม่สามารถทะลุแนวรับที่ 1.1313 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.1445 และ SL ที่ประมาณ 1.1193 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Buy/Long 2 หากสามารถทะลุแนวต้านที่ช่วงราคา 1.1413 - 1.1493 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.1577 และ SL ที่ประมาณ 1.1273 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 1.1413 - 1.1493 แต่ไม่สามารถทะลุแนวต้านที่ 1.1413 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.1313 และ SL ที่ประมาณ 1.1373 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Sell/Short 2 หากสามารถทะลุแนวรับที่ช่วงราคา 1.1233 - 1.1313 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.1181 และ SL ที่ประมาณ 1.1453 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Pivot Points Apr 17, 2025 10:40AM GMT+7
Name
|
S3
|
S2
|
S1
|
Pivot Points
|
R1
|
R2
|
R3
|
---|---|---|---|---|---|---|---|
Classic | 1.1181 | 1.1231 | 1.1313 | 1.1363 | 1.1445 | 1.1495 | 1.1577 |
Fibonacci | 1.1231 | 1.1281 | 1.1313 | 1.1363 | 1.1413 | 1.1445 | 1.1495 |
Camarilla | 1.136 | 1.1372 | 1.1384 | 1.1363 | 1.1408 | 1.142 | 1.1432 |
Woodie's | 1.1199 | 1.124 | 1.1331 | 1.1372 | 1.1463 | 1.1504 | 1.1595 |
DeMark's | - | - | 1.1339 | 1.1376 | 1.147 | - | - |
ที่มา: Investing 1, Investing 2
อัพเกรดความรู้เพิ่มเติม: คลิ