จีนมีแนวโน้มที่จะใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม 

ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลงเล็กน้อยหลังจากแข็งค่าขึ้นในช่วงก่อนหน้า เนื่องจากนักลงทุนเริ่มมีความกังวลเพิ่มขึ้นอีกครั้งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐ และจีน โดยสหรัฐได้เน้นย้ำว่าสินค้าบางรายการของจีนอาจต้องเสียภาษีนำเข้ารวมกันสูงถึง 245% โดยส่วนใหญ่เป็นการตอบโต้การตัดสินใจของจีนที่จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐ สูงถึง 125% ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการตอบโต้ของจีน อย่างไรก็ตาม จีนมีแนวโน้มที่จะไม่ใส่ใจกับตัวเลขภาษีนำเข้าของสหรัฐ แม้ว่าความตึงเครียดจะทวีความรุนแรงขึ้นก็ตาม ถึงอย่างนั้น จีนยังต้องการเจรจาบนพื้นฐานของความเท่าเทียม เพื่อหารือเกี่ยวกับภาษีศุลกากรในปัจจุบัน

เศรษฐกิจจีนเติบโต 5.4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าในไตรมาสที่ 1 ของปี 2025 โดยยังคงรักษาระดับการเติบโตที่เท่ากับไตรมาสที่ 4 และเกินความคาดหมายของตลาดที่ 5.1% โดยยังคงเป็นอัตราการเติบโตประจำปีที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบ 2 ปี ท่ามกลางมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องของจีน โดยตัวเลข GDP ล่าสุดยังคงได้รับแรงหนุนจากกิจกรรมจองเอกชนที่แข็งแกร่งในเดือนมีนาคม โดยผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วที่สุดตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2021 ส่งผลให้ยอดขายปลีกเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบกว่า 1 ปี และอัตราการว่างงานที่ลดลงจากระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี ในด้านการค้า การส่งออกยังคงเติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่อง เนื่องจากบริษัทต่างๆ เร่งการขนส่งก่อนที่จะมีการจัดเก็บภาษีศุลกากร ในขณะที่การนำเข้าลดลง อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดทางการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นกับสหรัฐฯ ทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคตยังคงไม่แน่นอนและสร้างแรงกดดันมากขึ้นในการดำเนินมาตรการสนับสนุนเพิ่มเติม

ผู้กำหนดนโยบายของจีนเน้นย้ำว่าจีนยังคงมีเครื่องมือมากมายที่จะช่วยสนับสนุนการผลิตภายในประเทศ โดยนายกรัฐมนตรีหลี่ เชียง ได้ให้คำมั่นว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยการกระตุ้นการบริโภคยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญสูงสุด เนื่องจากรัฐบาลพยายามชดเชยผลกระทบจากภาษีศุลกากรของสหรัฐ ที่เพิ่มขึ้น โดยคาดว่าจะมีการประชุมในช่วงปลายเดือนเมษายนเพื่อสรุปแผนนโยบายที่จะเกิดขึ้น หลังจากที่จีนประกาศเพิ่มการใช้จ่ายทางการคลัง รวมถึงการขาดดุลงบประมาณที่สูงขึ้น

ดุลการค้าของจีนพุ่งสูงถึง 102,640 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนมีนาคม เพิ่มขึ้นจาก 58,650 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงเดียวกันของปีก่อน การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ส่วนใหญ่มาจากการส่งออกที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่การนำเข้าลดลงกว่า 4.3% เป็นมูลค่า 211,300 ล้านเหรียญสหรัฐ นับเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกันที่การนำเข้าหดตัว เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศยังคงอ่อนแอ ก่อนที่สหรัฐฯ จะขึ้นภาษีนำเข้าครั้งใหญ่ ในช่วงไตรมาสแรกของปีมูลค่าการซื้อลดลงกว่า 7% คิดเป็น 580,700 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลดการนำเข้าสินค้าประเภทก๊าซธรรมชาติ, แร่หายาก และเหล็กกล้า ที่มีการนำเข้าลดลงกว่า 20% ในขณะเดียวกันได้มีการนำเข้าสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเทคโนโลยีมากขึ้นกว่า 50% โดยการนำเข้าหดตัวในหลายประเทศเช่น สหรัฐ, ยุโรป, ญี่ปุ่นและอินเดีย

ด้านการส่งออกจากจีนพุ่งขึ้น 12.4% เมื่อเทียบกับปีก่อนเป็นมูลค่า 313,900 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 4.4% นับเป็นการเพิ่มขึ้นเร็วที่สุดของยอดขายในต่างประเทศตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ซึ่งส่งสัญญาณถึงการเร่งการผลิตก่อนที่ภาษีศุลกากรล่าสุดของสหรัฐจะมีผลบังคับใช้ โดยไตรมาสแรกของปี 2025 การส่งออกเพิ่มขึ้นกว่า 5.8% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เพิ่มขึ้นสู่ 853,700 ล้านเหรียญสหรัฐ การส่งออกส่วนใหญ่ยังเป็นการส่งออกสินค้าทางการเกษตรและอิเล็กทรอนิกส์ โดยการส่งออกไปยังสหรัฐเพิ่มขึ้น 4.5%

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจีนอายุ 10 ปีเพิ่มขึ้นแต่ระดับ 1.65% เนื่องจากจีนได้รับแรงกดดันมากยิ่งขึ้นจากภาษีศุลกากรของสหรัฐที่อาจทำให้สินค้าบางประเภทถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม จีนได้ยื่นคำร้องต่อองค์กรการค้าโลก (WTO) เมื่อไม่นานนี้ โดยกล่าวหาว่าสหรัฐละเมิดกฎการค้า เพื่อให้สหรัฐเข้ามาเจรจาเรื่องภาษีกับจีนอีกครั้ง