บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ วันที่ 22 เมษายน 2568

Create at 8 hours ago (Apr 22, 2025 09:55)

ตลาดหุ้นร่วงหนักจากวิกฤตเฟด-สงครามการค้า

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงหนักจากความตึงเครียดทางการเมืองและเศรษฐกิจที่สั่นคลอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยกระดับการโจมตีเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) พร้อมเรียกร้องให้ลดดอกเบี้ยทันทีเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอย คำวิจารณ์ดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากที่ปรึกษาเศรษฐกิจทำเนียบขาวอย่างเควิน แฮสเซ็ตต์ ซึ่งถึงขั้นเสนอความเป็นไปได้ที่จะถอดพาวเวลออกจากตำแหน่ง สร้างความกังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความเป็นอิสระของ Fed ซึ่งเป็นเสาหลักของเสถียรภาพด้านนโยบายการเงิน

ตลาดตอบสนองอย่างรวดเร็วต่อแรงกดดันทางการเมืองที่เพิ่มขึ้น ดัชนี S&P 500 ร่วงลง 2.36% ขณะที่ Dow Jones ลดลง 2.48% และ Nasdaq ลดลง 2.55% ท่ามกลางความผันผวนที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยดัชนี VIX พุ่งเกือบ 14% ขณะที่ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี โดยทั้ง 11 กลุ่มอุตสาหกรรมใน S&P 500 ปิดตลาดในแดนลบ ขณะที่กลุ่มเทคโนโลยีและสินค้าฟุ่มเฟือยได้รับผลกระทบหนักที่สุด

ทั้งนี้ แรงขายรุนแรงในกลุ่ม “Magnificent Seven” หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ Tesla และ Nvidia ที่ราคาหุ้นร่วงลงอย่างหนักจากความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ที่อ่อนตัวลงและแรงกดดันด้านรายได้ โดย Tesla เผชิญกับอุปสรรคหลายด้าน ทั้งปัญหาการผลิตและภาพลักษณ์ทางการเมืองของซีอีโอ อีลอน มัสก์ ส่วน Alphabet ถูกกดดันก่อนประกาศงบจากความไม่แน่นอนด้านการลงทุนใน AI และแรงกดดันด้านกฎระเบียบ

ในทางกลับกัน Netflix มีความโดดเด่น โดยบริษัทระบุว่าผลกระทบจากภาษีต่อพฤติกรรมผู้บริโภคยังอยู่ในระดับจำกัด อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่าแนวโน้มเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอาจกัดเซาะความสามารถในการใช้จ่ายของผู้บริโภคในระยะยาว

ในสัปดาห์นี้นักลงทุนจะจับตางบการเงินของบริษัทต่าง ๆ โดย Tesla และ Alphabet จะเป็นกลุ่มแรกในกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ประกาศผลประกอบการ ขณะที่บริษัทอื่น ๆ ที่จะรายงานงบได้แก่ Intel, Merck, IBM, Boeing และ Procter & Gamble ซึ่งอาจให้ภาพรวมได้ว่าแต่ละธุรกิจจะรับมือกับแรงเสียดทานจากนโยบายและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจอย่างไร

อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ยิ่งซ้ำเติมความตึงเครียดในตลาด เมื่อสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนกลับมารุนแรงอีกครั้ง หลังทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนสูงสุดถึง 145% ทำให้จีนตอบโต้ด้วยภาษี 125% พร้อมเตือนประเทศอื่น ๆ ให้หลีกเลี่ยงข้อตกลงการค้าที่กระทบต่อผลประโยชน์ของตนเอง

ท่ามกลางบรรยากาศที่เปราะบาง ปฏิทินเศรษฐกิจที่อัดแน่นอาจช่วยให้ตลาดเห็นภาพชัดเจนขึ้น หรือในทางกลับกัน อาจเพิ่มความไม่แน่นอน โดยในวันอังคารตลาดจะจับตารายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกของ IMF ซึ่งถือเป็นไฮไลต์ของการประชุม IMF และธนาคารโลกประจำฤดูใบไม้ผลิ ณ กรุงวอชิงตัน โดยผู้อำนวยการ IMF คริสตาลินา จอร์จีวา เตือนว่าภาษีที่เพิ่มขึ้นเป็น “ความเสี่ยงสำคัญ” ต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก และเรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ ลดความตึงเครียดทางการค้า

วันพุธ นักลงทุนจะจับตาดัชนี PMI เบื้องต้นของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นข้อมูลทางเศรษฐกิจชิ้นแรก ๆ นับตั้งแต่ทรัมป์ประกาศนโยบายภาษีรอบล่าสุด โดยนักวิเคราะห์คาดว่าภาษีดังกล่าวจะกระตุ้นเงินเฟ้อและฉุดรั้งการเติบโต ขณะที่ภาคธุรกิจจำนวนมากเริ่มสะท้อนถึงความไม่แน่นอนในแผนกลยุทธ์ในอนาคต นอกจากนี้ รายงาน Beige Book ของ Fed ที่จะเผยแพร่ในวันเดียวกันจะให้ภาพรวมเศรษฐกิจก่อนการประชุม Fed ครั้งถัดไป โดยในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Fed คงดอกเบี้ยไว้ที่ 4.25%–4.50% พร้อมส่งสัญญาณความระมัดระวังท่ามกลางความเสี่ยงจากนโยบายการค้า

ปิดท้ายสัปดาห์ ตลาดจะติดตามรายงานความเชื่อมั่นผู้บริโภคฉบับสุดท้ายจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนในวันศุกร์ โดยผลสำรวจเบื้องต้นระบุว่าความเชื่อมั่นลดลงอย่างมากในเดือนเมษายน และความคาดหวังด้านเงินเฟ้อในอีก 12 เดือนข้างหน้าพุ่งแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 1981

ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 หลุดระดับแนวรับระยะสั้นที่ 5,200 ซึ่งเพิ่มความเป็นไปได้ที่ตลาดจะปรับฐานลงสู่ช่วง 5,100–5,050 โดยหากแรงขายยังคงมีอยู่ อาจเห็นการถอยลึกลงไปถึงช่วง 4,950–5,000 ได้ อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของบริษัทขนาดใหญ่ที่จะประกาศเร็ว ๆ นี้ รวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจมหภาค อาจช่วยหนุนให้เกิดการดีดตัวทางเทคนิค หากตัวเลขออกมาแข็งแกร่งและความกังวลด้านเงินเฟ้อลดลง โดยการดีดกลับขึ้นเหนือระดับ 5,220 จะเป็นสัญญาณของโอกาสในการฟื้นตัวต่อไปยังแนวต้านที่ 5,280 อย่างไรก็ดี จนกว่าจะมีความชัดเจนมากกว่านี้ ตลาดยังมีแนวโน้มผันผวนสูง โดยความเชื่อมั่นของนักลงทุนยังคงเปราะบางและตอบสนองไวต่อข่าวสารด้านนโยบาย

ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (1H) CFD US 500 [S&P 500]

แนวต้านสำคัญ : 5192.9, 5197.7, 5205.3

แนวรับสำคัญ : 5177.7, 5172.9, 5165.3             

1H Outlook    

วิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มา: TradingView                               

Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 5162.7 - 5177.7 แต่ไม่สามารถเบรกแนวรับที่ 5177.7 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 5195.2 และ SL ที่ประมาณ 5155.2 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Buy/Long 2 หากสามารถเบรกแนวต้านที่ช่วงราคา 5162.7 - 5177.7 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 5210.0 และ SL ที่ประมาณ 5170.2 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้                 

Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 5192.9 - 5207.9 แต่ไม่สามารถเบรกแนวต้านที่ 5192.9 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 5175.2 และ SL ที่ประมาณ 5215.4 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Sell/Short 2 หากสามารถเบรกแนวรับที่ช่วงราคา 5162.7 - 5177.7 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 5155.0 และ SL ที่ประมาณ 5200.4 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Pivot Points Apr 22, 2025 09:09AM GMT+7

Name
S3
S2
S1
Pivot Points
R1
R2
R3
Classic 5155.2 5165.3 5175.2 5185.3 5195.2 5205.3 5215.2
Fibonacci 5165.3 5172.9 5177.7 5185.3 5192.9 5197.7 5205.3
Camarilla 5179.6 5181.4 5183.3 5185.3 5186.9 5188.8 5190.6
Woodie's 5155 5165.2 5175 5185.2 5195 5205.2 5215
DeMark's - - 5180.3 5187.8 5200.3 - -

ที่มา: Investing 1Investing 2

______________________________
อัพเกรดความรู้เพิ่มเติม: คลิกที่นี่
รู้เท่าทันสถานการณ์โลกและบทวิเคราะห์เทคนิคขั้นสูง: คลิกที่นี่
Tags:

TECHNICAL ANALYSIS

ARTICLES