แม้ว่ารายได้ของบริษัทต่างๆในดัชนีเอสแอนด์พี500 ในปีนี้จะร่วงลงกว่า 16% เมื่อเทียบกับปีก่อนเพราะความไม่แน่นอนทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการคุมเข้มในรูปแบบต่างๆของรัฐบาลแต่ละประเทศเพื่อสกัดกั้นการระบาดของโรคโควิด-19 ที่ยังไม่ทุเลาเบาบางลง มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายประเทศทั่วโลก แต่กิจกรรมทางธุรกิจและเศรษฐกิจของจีนกลับมาคึกคักได้อีกครั้งหลังจากทางการจีนตัดสินใจปิดเมืองเกือบครึ่งประเทศไปเมื่อต้นปีเพื่อรับมือกับวิกฤตด้านสาธารณสุขของประเทศ
ถึงตอนนี้ จีนกลายเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจดีกว่าอีกหลายประเทศที่เผชิญชะตากรรมเดียวกัน แน่นอนว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ไม่เท่าเทียมกันแบบนี้สร้างแรงกดดันมากขึ้นแก่บริษัทข้ามชาติที่มีฐานดำเนินงานในจีนให้ต้องเร่งสร้างรายได้และผลกำไรแก่องค์กรมากขึ้น
ขณะที่ผลสำรวจบริษัทจำนวนกว่า 6,600 แห่ง ใน12 ประเทศ จัดทำโดยไอเอชเอส มาร์กิตช่วงปลายเดือนต.ค.ที่ผ่านมาบ่งชี้ว่า บริษัทต่างๆในจีน รวมถึงบริษัทอเมริกัน ระบุว่าธุรกิจฟื้นตัวในอัตราสูงสุดจากที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19และข้อมูลล่าสุดจากสำนักงานวิเคราะห์เศรษฐกิจสหรัฐ บ่งชี้ว่า บริษัทอเมริกันที่เข้าไปตั้งบริษัทในเครือในจีนแผ่นดินใหญ่มียอดขายในปี 2561 อยู่ที่ 392.7 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้านี้ 4.8%
ผลสำรวจของไอเอชเอส ระบุว่า บริษัทหลายแห่งมองการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนอย่างมีความหวังและเริ่มเห็นอนาคตว่าจะมีการจ้างงานมากขึ้นในแทบทุกอุตสาหกรรมของจีน และผู้ตอบแบบสอบถามจากในสหรัฐและในจีนยังคาดการณ์ว่าผลผลิตจะฟื้นตัวไปอยู่ในระดับก่อนเกิดการระบาดของโรคโควิด-19ขั้นรุนแรงที่สุด โดยแยกเป็นการฟื้นตัวของธุรกิจในจีนในระยะเวลาสองเดือนและสามเดือนสำหรับบริษัทในสหรัฐ เทียบกับห้าเดือนสำหรับ48%ของบริษัททั่วโลกที่กำลังรอให้ผลผลิตฟื้นตัวเต็มที่กลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง
จีน ชาติเศรษฐกิจใหญ่สุดอันดับสองของโลกเริ่มมีความสำคัญมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาในสายตาบริษัทข้ามชาติชั้นนำทั้งหลายตั้งแต่บริษัทแอ๊ปเปิ้ล ผู้ผลิตไอโฟน ไปจนถึงบริษัททิฟฟานี ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องประดับหรูหรา เพราะจีนเป็นตลาดที่เต็มไปด้วยโอกาสทางธุรกิจเนื่องจากมีผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อหลายร้อยล้านคน
ส่วนประเทศที่ทำยอดขายสูงสุดในปีนี้ครอบคลุมถึงออสเตรเลีย เยอรมนี ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ และบริษัทจำนวนกว่า 470 แห่งทำยอดขายทะลุ 100 ล้านหยวน เทียบกับปีก่อนหน้านี้ที่มีแค่สหรัฐและญี่ปุ่นเท่านั้น