สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (21 ม.ค.) หลังจากสถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) เปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าสต็อกน้ำมันลดลง ขณะที่นักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบของหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันนี้
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 18 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 53.13 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 2 เซนต์ หรือ 0.1% ปิดที่ 56.10 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบถูกกดดันจากรายงานของสถาบันปิโตรเลียมอเมริกาซึ่งระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 2.6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 15 ม.ค. ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1.2 ล้านบาร์เรล
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ในวันนี้ เพื่อยืนยันตัวเลขสต็อกน้ำมันของสถาบันปิโตรเลียมอเมริกา ขณะที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของเอสแอนด์พี โกลบอล แพลทส์ คาดการณ์ว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐจะลดลง 2.5 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 15 ม.ค.
อย่างไรก็ดี ภาวะการซื้อขายในตลาดน้ำมันยังคงได้รับแรงหนุนจากความหวังที่ว่า รัฐบาลสหรัฐจะเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเยียวยาประชาชนและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ทั้งนี้ ปธน.โจ ไบเดนได้นำเสนอมาตรการ "American Rescue Plan" วงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งครอบคลุมถึงการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจากระดับ 7.25 ดอลลาร์/ชั่วโมงในปัจจุบัน สู่ระดับ 15 ดอลลาร์, การเพิ่มวงเงินในการส่งเช็คเงินสดให้แก่ชาวอเมริกันเป็นคนละ 2,000 ดอลลาร์ จากเดิมที่ได้คนละ 600 ดอลลาร์ และเพิ่มวงเงินช่วยเหลือคนตกงานเป็น 400 ดอลลาร์/สัปดาห์ โดยจะขยายโครงการช่วยเหลือดังกล่าวไปจนถึงสิ้นเดือนก.ย.