ดัชนีดาวโจนส์ ปิดตลาดวันจันทร์ที่ 25ม.ค. ปรับตัวร่วงลง 36 จุด ขณะที่นักลงทุนจับตาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์นี้ โดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ลดลง 36.98 จุด หรือ 0.12% ปิดที่ 30,960.00 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 13.89 จุด หรือ 0.36% ปิดที่ 3,855.36 จุด และดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 92.93 จุด หรือ 0.69% ปิดที่ 13,635.99 จุด
ตลาดยังคงถูกกดดันจากความวิตกที่ว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดนอาจจะต้องปรับลดวงเงินในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้สามารถผ่านการอนุมัติจากสภาคองเกรส ทั้งนี้ สมาชิกสภาคองเกรสหลายรายทั้งจากพรรครีพับลิกันและเดโมแครตต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ และตั้งข้อสงสัยถึงความจำเป็นของการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ของปธน.ไบเดน
นอกจากนี้ นักลงทุนยังมีความกังวลเกี่ยวกับความล่าช้าในการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในสหรัฐ และการที่หุ้นเริ่มมีราคาแพง หลังจากพุ่งขึ้นขานรับการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐของนายโจ ไบเดนก่อนหน้านี้ โดยขณะนี้ค่า Forward P/E Ratio ของดัชนี S&P 500 อยู่ใกล้ระดับสูงสุดในช่วงเกิดฟองสบู่ดอทคอมในปี 2543
บริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะรายงานผลประกอบการในสัปดาห์นี้ ได้แก่ แอปเปิล, ไมโครซอฟท์, โบอิ้ง, เน็ตฟลิกซ์ และเทสลา ในข้อมูลระบุว่า ในบรรดาบริษัทในดัชนีเอสแอนด์พี500 ที่มีการรายงานผลประกอบการในไตรมาส 4/63 แล้ว มีจำนวน 73% ที่รายงานตัวเลขรายได้และกำไรสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งเฟดจะจัดการประชุมในวันที่ 26-27 ม.ค. โดยนักวิเคราะห์คาดว่าเฟดจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.00-0.25% ขณะที่ตลาดจับตาดูว่าเฟดจะยังคงซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ในวงเงิน 1.2 แสนล้านดอลลาร์/เดือนหรือไม่ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐ