ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจน ปรับตัวลดลง 22.96 จุด หรือ 0.07% ปิดที่ 30,937.04 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 5.74 จุด หรือ 0.15% ปิดที่ 3,849.62 จุด และดัชนีแนสแด็ก ลดลง 9.93 จุด หรือ 0.07% ปิดที่ 13,626.07 จุด ทั้งนี้ 3เอ็ม โค กลายเป็นหนึ่งในตัวหนุนสำคัญของดาวโจนส์ หลังรายงานผลประกอบการ เผยให้เห็นว่าบริษัทได้ประโยชน์จากต้นทุนต่างๆที่ต่ำลง และอุปสงค์หน้ากากอนามัยใช้แล้วทิ้ง เจลล้างมือและแว่นตานิรภัย ท่ามกลางจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้น
ส่วนราคาหุ้นบริษัทเจเนอรัล อิเลคทริค (จีอี) พุ่งขึ้น 9% หลังเปิดเผยตัวเลขรายได้และกระแสเงินสดหมุนเวียนในไตรมาส 4/2563 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ และราคาหุ้นบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (เจแอนด์เจ) ดีดตัวขึ้นมากกว่า 3% หลังเปิดเผยกำไรและรายได้ในไตรมาส 4/2563 สูงกว่าคาด นอกจากนี้ เจแอนด์เจ อาจเปิดเผยผลการทดลองวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ในสัปดาห์นี้ หลังจากที่ได้ทำการทดลองวัคซีนในระยะที่ 3 กับอาสาสมัครจำนวน 45,000 คน
เจแอนด์เจ ระบุว่า วัคซีนของทางบริษัทสามารถสร้างภูมิต้านทานไวรัสโควิด-19 ด้วยการฉีดเพียงโดสเดียว ซึ่งแตกต่างจากวัคซีนของบริษัทไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทค, แอสตร้าเซนเนก้า/มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด และโมเดอร์นา ซึ่งล้วนต้องมีการฉีด 2 โดส และการฉีด 2 โดสดังกล่าวได้สร้างข้อจำกัดต่อรัฐบาลประเทศต่างๆในการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชน ส่งผลให้บางประเทศพยายามยืดเวลาระหว่างการฉีดวัคซีนโดสที่ 1 และโดสที่ 2 ออกไปให้นานที่สุด เพื่อให้มีการฉีดวัคซีนโดสแรกให้แก่ประชากรจำนวนมากที่สุด บริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะรายงานผลประกอบการในสัปดาห์นี้ ได้แก่ แอปเปิล, ไมโครซอฟท์, โบอิ้ง, เน็ตฟลิกซ์ และเทสลา
ข้อมูลระบุว่า ในบรรดาบริษัทในดัชนีเอสแอนด์พี500 ที่มีการรายงานผลประกอบการในไตรมาส 4/63 แล้ว มีจำนวน 70% ที่รายงานตัวเลขรายได้และกำไรสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ เฟดจะจัดการประชุมในวันที่ 26-27 ม.ค. โดยนักวิเคราะห์คาดว่าเฟดจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.00-0.25% ขณะที่ตลาดจับตาดูว่าเฟดจะยังคงซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ในวงเงิน 1.2 แสนล้านดอลลาร์/เดือนหรือไม่ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐ