สหภาพยุโรปสั่งควบคุมการส่งออกวัคซีนโควิด-19 ให้อำนาจประเทศต่างๆ ใน EU ปฏิเสธการอนุญาตส่งออกวัคซีน หากบริษัทผลิตวัคซีนไม่ปฏิบัติตามสัญญาการส่งมอบวัคซีน คาดกระทบราว 100 ประเทศทั่วโลก
สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า สหภาพยุโรป (EU) จะใช้มาตรการควบคุมการส่งออกวัคซีนโควิด-19 ที่ผลิตขึ้นภายใน EU ท่ามกลางความขัดแย้งเกี่ยวกับการส่งมอบซึ่งทำให้วัคซีนขาดแคลน ทั้งนี้ กลไกความโปร่งใส (transparency mechanism) ให้อำนาจประเทศต่างๆ ใน EU ที่จะปฏิเสธการอนุญาตส่งออกวัคซีน หากบริษัทผลิตวัคซีนไม่ปฏิบัติตามสัญญาการส่งมอบวัคซีนที่มีอยู่กับทาง EU
“การปกป้องและความปลอดภัยของพลเมืองของเราเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก และปัญหาที่เราเผชิญในขณะนี้ ทำให้เราไม่มีทางเลือก นอกจากต้องดำเนินการควบคุมการส่งออกวัคซีนที่ผลิตใน EU” คณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ระบุ มาตรการควบคุมการส่งออกวัคซีนของ EU จะส่งผลกระทบต่อราว 100 ประเทศทั่วโลก รวมถึงสหราชอาณาจักร, สหรัฐ, แคนาดา และออสเตรเลีย แต่อีกหลายประเทศรวมถึงประเทศที่ยากจนจะได้รับการยกเว้น EU ยืนยันว่า การควบคุมการส่งออกวัคซีนนั้นเป็นมาตรการเพียงชั่วคราว และไม่ใช่การห้ามส่งออกวัคซีน ขณะที่องค์การอนามัยโลก (WHO) เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์มาตรการดังกล่าวของ EU โดยระบุว่า
มาตรการดังกล่าวอาจจะส่งผลกระทบไปทั่วโลก มาตรการควบคุมการส่งออกวัคซีนเกิดขึ้น หลังจากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าของอังกฤษเปิดเผยว่า วัคซีนต้านโรคโควิด-19 ที่ทางบริษัทพัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด จะมีการส่งมอบไปยังสหภาพยุโรป (EU) ต่ำกว่าเป้าหมายไปจนถึงปลายเดือนมี.ค. อันเนื่องจากปัญหาด้านการผลิต โดยคาดว่าจะมีการลดปริมาณการส่งมอบวัคซีนลง 60% เหลือเพียง 31 ล้านโดส ด้านบริษัทไฟเซอร์ อิงค์ของสหรัฐ ระบุเช่นกันว่า ทางบริษัทจะลดการส่งมอบวัคซีนต้านโควิด-19 เหลือเพียง 50% ให้แก่ยุโรป โดยจะกระทบการส่งมอบในช่วงสิ้นเดือนนี้ไปจนถึงต้นเดือนหน้า