สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ส่งมอบเดือนมี.ค. ซึ่งมีการซื้อขายที่ตลาดไนเม็กซ์ เพิ่มขึ้น 1.55 ดอลลาร์ ปิดที่ 63.22 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากช่วงหนึ่งพุ่งขึ้นไปถึง 63.37 ดอลลาร์ แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค.ปี 2563 ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 1.67 ดอลลาร์ ปิดที่ 67.04 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากช่วงหนึ่งพุ่งขึ้นไปแตะ 67.30 ดอลลาร์ สูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค.ปี2563 เช่นกัน

สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (อีไอเอ) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 4.8 ล้านบาร์เรล

อีไอเอ ยังเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคูชิง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 2.8 ล้านบาร์เรล ราคาน้ำมันได้ปัจจัยหนุนจากคาดการณ์ที่ว่า อุตสาหกรรมพลังงานในรัฐเท็กซัสยังคงต้องใช้เวลาก่อนที่จะกลับมาผลิตน้ำมันอีกครั้ง

แหล่งข่าวระบุว่า ตลาดน้ำมันจะยังคงเผชิญภาวะตึงตัว เนื่องจากการกลับมาผลิตน้ำมันอีกครั้งของอุตสาหกรรมพลังงานในรัฐเท็กซัสจะเป็นไปอย่างล่าช้า โดยต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ หลังจากที่สภาพอากาศที่หนาวเย็นได้กระทบต่อการผลิตน้ำมันและก๊าซก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์ระบุว่า การขาดแคลนกระแสไฟฟ้าในรัฐเท็กซัสก่อนหน้านี้ได้กระทบต่อการกลั่นน้ำมันราว 1 ใน 5 ของสหรัฐ รวมทั้งการผลิตน้ำมันดิบราว 4 ล้านบาร์เรล/วัน และการผลิตก๊าซธรรมชาติจำนวน 2.1 หมื่นล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน

นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้ปัจจัยบวกจากอุปสงค์น้ำมันที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ประเทศต่างๆเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งจะทำให้มีการเปิดเศรษฐกิจ และเพิ่มความต้องการใช้น้ำมัน

นักลงทุนจับตาการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ในวันที่ 4 มี.ค. โดยมีการคาดการณ์ว่าที่ประชุมจะมีมติผ่อนคลายมาตรการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันหลังเดือนเม.ย. เนื่องจากขณะนี้ราคาน้ำมันได้ฟื้นตัวขึ้นแล้ว