ดัชนีดาวโจนส์ ปิดตลาดวันพุธ ที่ 3มี.ค. ปรับตัวร่วงลง 121 จุด หลังพุ่งขึ้นกว่า 200 จุดในช่วงแรกจากแรงเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและดัชนีได้รับผลกระทบจากการดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งบ่งชี้ว่าตลาดแรงงานยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ลดลง 121.43 จุด หรือ 0.40% ปิดที่ 31,270.09 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 50.57 จุด หรือ 1.31 % ปิดที่ 3,819.72 จุด และดัชนีแนสแด็ก ลดลง 361.04 จุด หรือ 2.70 % ปิดที่ 12,997.75 จุด
ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงกว่า 100 จุดเมื่อคืนนี้ โดยถูกกดดันจากการที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนแสดงความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่เกิดจากภาวะฟองสบู่ในตลาดการเงินทั่วโลก ทั้งนี้ นายเกา ชู่ฉิง ประธานคณะกรรมการฝ่ายกำกับดูแลด้านการธนาคารและการประกันของจีน (ซีบีไออาร์ซี) กล่าวว่า ตลาดการเงินในสหรัฐและยุโรปอาจเผชิญกับภาวะฟองสบู่แตก เนื่องจากการพุ่งขึ้นของตลาดกำลังอยู่ในทิศทางตรงกันข้ามกับภาวะเศรษฐกิจที่แท้จริง และมีแนวโน้มว่าตลาดจะเผชิญกับการปรับฐานในไม่ช้านี้
คำเตือนของนายเกาส่งผลให้นักลงทุนวิตกว่า จีนอาจจะใช้นโยบายควบคุมการขยายตัวอย่างร้อนแรงของเศรษฐกิจ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปียังคงดีดตัวขึ้นในวันนี้ หลังจากพุ่งแตะระดับ 1.6% ในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อและต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น
ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (เอดีพี) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐเพิ่มขึ้นเพียง 117,000 ตำแหน่งในเดือนก.พ. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 225,000 ตำแหน่ง นอกจากนี้ เอดีพี ยังได้ปรับตัวเลขการจ้างงานของภาคเอกชนในเดือนม.ค.เป็นเพิ่มขึ้น 195,000 ตำแหน่ง จากเดิมที่รายงานเพิ่มขึ้น 174,000 ตำแหน่ง