ดัชนีดาวโจนส์ ปิดตลาดวันพฤหัสบดี ที่ 4มี.ค. ดิ่งลง 345 จุด จากการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งขึ้น หลังจากที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (FED) กล่าวเตือนว่าสหรัฐจะเผชิญภาวะเงินเฟ้อหลังการเปิดเศรษฐกิจ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวร่วงลง 345.95 จุด หรือ 1.1% ปิดที่ 30,924.14 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ร่วงลง 1.3% ปิดที่ 3,768.47 จุด และดัชนีแนสแด็ก ร่วงลง 2.1% ปิดที่ 12,723.47 จุด
นายพาวเวลกล่าวว่า การที่สหรัฐกลับมาเปิดเศรษฐกิจ หลังมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ จะทำให้เงินเฟ้อดีดตัวขึ้นแต่นายพาวเวลก็ยืนยันว่า การปรับตัวขึ้นของเงินเฟ้อดังกล่าวจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว และยังไม่มีความรุนแรงเพียงพอที่จะทำให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
นายพาวเวล ระบุว่า การที่ภาวะเงินเฟ้อจากราคาสินค้าดูเหมือนดีดตัวขึ้น เนื่องจากมีการเปรียบเทียบกับฐานซึ่งอยู่ในระดับต่ำมากในปีที่แล้ว ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นอกจากนี้ นายพาวเวล ยังกล่าวว่า การที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้น เศรษฐกิจจะต้องมีการจ้างงานอย่างเต็มศักยภาพ และเงินเฟ้อจะต้องอยู่เหนือระดับ 2% อย่างยั่งยืน ซึ่งเขาไม่คาดว่าภาวะดังกล่าวจะเกิดขึ้นในปีนี้
ทั้งนี้ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีถือเป็นพันธบัตรที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาของตราสารหนี้ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้รถยนต์ของสหรัฐ ซึ่งหากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวขึ้น จะทำให้เม็ดเงินในการใช้จ่ายของผู้บริโภคลดน้อยลง ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้เพิ่มมากขึ้น และบริษัทต่างๆจะเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการชำระหนี้ ซึ่งจะทำให้บริษัทเหล่านี้ลดการลงทุน และลดการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน
นอกจากนี้ ยังมีความวิตกว่า การดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจะลดความน่าดึงดูดของการลงทุนในหุ้น ทำให้นักลงทุนหันเข้าสู่ตลาดพันธบัตร